Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 713

สรุปบท ตอนที่ 713 ทรยศ: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 713 ทรยศ จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 713 ทรยศ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 713 ทรยศ
ตอนที่ 713 ทรยศ
โดย
ProjectZyphon
ป่าต้นหม่อนตั้งอยู่ในหุบเหวลึกแห่งหนึ่ง ไม่อาจล่วงรู้ถึงขนาดและความลึกของป่าได้!

หลายพันปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน มีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่เคยเข้าไปสืบเสาะ แต่กลับไม่มีใครล่วงรู้ถึงภาพรวมของป่าต้นหม่อนอย่างทะลุปรุโปร่งเลยสักคน

ป่าใหญ่เกินไป ลึกล้ำยากหยั่งถึง กระทั่งทำให้ทุกคนสงสัยว่าส่วนลึกที่สุดของป่าอาจจะข้ามผ่านไปอีกโลกหนึ่งได้!

ตอนนี้เพราะปรากฏการณ์ประหลาดภายในป่าต้นหม่อนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถือเป็นเค้าลางว่ามหาวาสนาชิ้นหนึ่งกำลังจะบังเกิดขึ้น

อาจจะเกี่ยวข้องกับอริยมรรค และอาจจะมีสมบัติกับศุภโชคเหลือเชื่อมากมายปรากฏขึ้นมา!

เมื่อได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นั่นถึงได้เกิดเหตุปะทะนองเลือดที่โหดร้ายอย่างที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพราะวาสนา!

“ที่นั่นน่ากลัวนัก ถึงกับมีวิญญาณมารปีศาจในตำนานปรากฏตัว ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร ก็ยิ่งลึกลับและอันตรายยิ่งขึ้น”

เหยียนเฟิงสีหน้าหนักอึ้ง เอ่ยว่า “หลายวันก่อนมีข่าวหลุดออกมาว่าราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคีพบร่องรอยดวงตะวันที่ตกลงมารอยหนึ่งภายในนั้น! กระทั่งตอนนี้ด้านในยังหลงเหลือแก่นเพลิงตะวันอยู่ กลิ่นอายน่าตื่นตะลึงยิ่ง”

“และแม่ทัพใหญ่เซี่ยซื่ออันแห่งจักรวรรดิของพวกเราก็เคยสันนิษฐานว่า ในส่วนลึกของป่าต้นหม่อนมีตำหนักโบราณตั้งอยู่ น่าเสียดายที่ไม่มีทางรับรู้ตำแหน่งอย่างแม่นยำ เพราะที่นั่นกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป หมอกก็หนาทึบ”

“ถึงกับ…”

พูดถึงตรงนี้ เหยียนเฟิงเหมือนต้องการจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป

“ถึงกับอะไร” หลินสวินเลิกคิ้วถาม

“ถึงกับมีผู้ฝึกปราณสาบานอย่างหนักแน่นว่าเห็นจักจั่นขาวตัวขนาดเท่ามือทารกเท่านั้นในป่าต้นหม่อน แต่บนตัวกลับมีละอองแสงเซียนไหลเวียน เสียงจักจั่นร้องเพียงครั้งเดียวทำลายทุกอย่างในรัศมีร้อยลี้จนสิ้น!”

เหยียนเฟิงสีหน้าประหลาดอย่างบอกไม่ถูก “แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจักจั่นขาวตัวนั้นบรรลุเป็นอริยะแล้ว!”

“อะไรนะ!?”

หลินสวินก็ตกตะลึงแล้ว นี่ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก จักจั่นขาวขนาดราวฝ่ามือทารกตัวหนึ่งกลับเป็นอริยะ? เกรงว่าไม่ว่าใครได้ยินก็คงจะรู้สึกว่าเหลวไหลและตกตะลึง

“แต่ว่าพวกนี้ล้วนเป็นข่าวลือ จะจริงหรือเท็จก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน”

เหยียนเฟิงพูดต่อ “แต่ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ ในป่าต้นหม่อนมีมหาวาสนาปรากฏขึ้นจริง ช่วงนี้สาเหตุที่มีการห้ำหั่นดุเดือดหาใดเทียบ ก็เพราะในป่าต้นหม่อนมีผู้แข็งแกร่งมากมายมาขุดค้นสมบัติชั้นดีบางอย่าง”

“อย่างหินแร่ลี้ลับที่ย้อมโลหิตปีศาจ หรืออย่างบุปผาสองสีขาวดำที่เกิดขึ้นบนก้านเดียวกัน เศษก้อนสำริดที่มีรอยสลักประหลาดประทับอยู่…”

“แน่นอนว่ายังมีสมบัติทำนองเดียวกับหินหยกอัศจรรย์ลายทองไม่น้อย”

เมื่อได้ยินดังนี้หลินสวินก็ตื่นเต้น ร้อนรุ่มในใจ ที่ครั้งนี้เขามายังป่าต้นหม่อนก็เพื่อมาเสาะหาหินหยกอัศจรรย์ลายทองเพิ่ม!

ภายในนั้นซุกซ่อนใบไม้สีเขียวหยกที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตอยู่ สามารถฟื้นฟูและแปรเปลี่ยนดาบหักได้ อัศจรรย์หาใดเทียบ

หลังจากบอกลาเหยียนเฟิง หลินสวินก็เดินหน้าต่อไป

คำพูดของเหยียนเฟิงทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าป่าต้นหม่อนไม่ธรรมดา ถึงกับน่าตื่นตะลึงกว่าแดนลับอสูรมารอริยะเสียอีก!

……

สองชั่วยามต่อมา

บนเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีแสงสีเลือดที่แสบตาหาใดเทียบแสงหนึ่งพุ่งทะลุเมฆา ย้อมเวิ้งฟ้าบริเวณนั้นเป็นสีเลือดพิลึกพิลั่นน่าหวาดหวั่น

ขณะเดียวกัน อากาศที่นี่ก็มีไอพิฆาตคาวเลือดเสียดกระดูกเพิ่มเข้ามาอย่างเข้มข้นจนจิตใจสั่นระรัว ประหนึ่งว่าที่นั่นเป็นดินแดนปีศาจ มีอันตรายไม่มีที่สิ้นสุดซุกซ่อนอยู่ภายใน

ป่าต้นหม่อน!

หลินสวินพลันหยุดเดิน ที่ที่แสงสีเลือดพุ่งทะลุเมฆมีเหวลึกอยู่ภายใน ในนั้นเป็นทางผ่านไปยังป่าต้นหม่อนที่ถูกเรียกว่า ‘แดนมารย้อมโลหิตเทพ’

ฟู่!

หลินสวินสูดหายใจลึก ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปใกล้ แต่เลือกที่แห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงโคจรไอซวนหนีกำบังกาย จากนั้นจึงเริ่มฟื้นฟูพลังกายอย่างเงียบๆ

หลินสวินเดินทางมาตลอด แม้ไม่ได้ใช้พลังกายมากนัก แต่อย่างไรที่ไปครั้งนี้ก็คือป่าต้นหม่อน ที่นั่นเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น หลั่งเลือดเป็นสายธาร ทำให้เขาไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย

จวบจนสายัณห์มาเยือน เวลานี้เขาถึงได้ปรับการขับเคลื่อนของพลังให้อยู่ในสภาวะสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมพลุ่งพล่าน

เขาซ่อนผลึกวิญาณระดับสูงส่วนหนึ่งในห่อสัมภาระไว้ เหลือเพียงส่วนหนึ่งที่แบกอยู่บนหลัง

ทำเช่นนี้ก็เพื่อเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ยามต้องหนีออกจากป่าต้นหม่อนก็ยังมีโอกาสเติมพลังได้

เพียงแต่เมื่อหลินสวินเพิ่งเคลื่อนไหว กลับต้องหรี่ตาลงในทันใดแล้วอำพรางตัวอีกครั้ง

ไม่นานนักบริเวณที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ค้างคาวสีทองมหึมาตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาทางนี้

บนหลังค้างคาวทองบรรทุกผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนหลายคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ต้องการเดินทางไปยังป่าต้นหม่อนที่อยู่ไกลออกไป

“ข่าวแน่ชัดหรือไม่ เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหลินสือเอ้อร์นั่นอาจหาญเสียจริง กล้ามาป่าต้นหม่อนคนเดียวเลยหรือ”

เสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น

นี่ทำให้นัยน์ตาของหลินสวินที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดหดรัดลงทันที วันนี้ตนเพิ่งออกจากค่ายหมายเลขเจ็ด ทั้งยังเพิ่งมาถึงบริเวณนี้ เหตุใดเผ่าพ่อมดเถื่อนถึงรู้ข่าวแล้วล่ะ

ที่เกินความคาดหมายของหลินสวินก็คือ เสียงนี้ออกจะคุ้นหูเขา เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน เป็นอิ๋งเชวี่ย นายน้อยราชนิกุลคนเถื่อนมืด!

วันแรกที่มาถึงสมรภูมิกระหายเลือด หลินสวินก็เกือบสังหารเจ้าหมอนี่สำเร็จ มีหรือจะจำเสียงเขาไม่ได้

“เรียนนายน้อย ข่าวแน่ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย ตามที่ได้ยินมาเจ้าหลินสือเอ้อร์นั่นออกจากค่ายหมายเลขเจ็ดตามใจชอบ ขนาดจ่างซุนเลี่ยยังไม่อาจยับยั้งได้ทันท่วงทีขอรับ”

เสียงเคารพนบนอบเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทั้งผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิและผู้แข็งแกร่งจากเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างเคยมาถึงที่นี่ แต่กลับสิ้นชีพลงที่บริเวณชายขอบป่าต้นหม่อนนี้เท่านั้น

มากมายนัก ที่ไหนก็มีอยู่เต็มไปหมด ในอากาศยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเขม่าควัน จากจุดนี้ก็สันนิษฐานได้ว่าไม่กี่วันก่อน แค่เพียงบริเวณนี้ก็มีเหตุปะทะดุเดือดและนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ทำให้หลินสวินยิ่งระแวดระวัง เขาไม่หยุดกลางทาง เดินหน้าต่อไปยังส่วนลึกของหุบเหว

หืม?

ไม่นานนักหลินสวินพลันหวาดผวา เขาพบเข้ากับศพผู้ฝึกปราณจักรวรรดิศพหนึ่ง กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่บ่งบอกทุกอณูว่านี่เป็นราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง!

แต่ตอนนี้เขาเหลือเพียงซากศพถูกทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว เมื่อมีชีวิตไม่มีโอกาสได้มีอายุยืนนาน เมื่อวายชนม์ยังไม่มีสุสานให้เก็บอัฐิ!

หลินสวินเงยหน้ามองรอบด้าน ทั้งสี่ทิศเวิ้งว้างเต็มไปด้วยสีเลือด ส่วนลึกของหุบเหวใหญ่เหมือนไร้ที่สิ้นสุด ประหนึ่งแดนมารย้อมโลหิต

‘นี่ก็คือการฝึกปราณ หนทางยากเข็ญ ใครกล้าเพ้อเจ้อว่าชีวิตนี้จะเป็นนิรันดร์ไม่มีวันดับสูญกัน’

หลินสวินสูดลมหายใจลึก เดินหน้าต่อไป แต่กลับเหนือความคาดหมายของเขา เพราะตลอดทางไม่พบอันตรายใดเลย

ไม่นานนักเขาก็พบเข้ากับขบวนผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิกลุ่มหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามล้วนประหลาดใจ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นป่าต้นหม่อนที่เต็มไปด้วยภยันตรายยิ่งยวด ผู้ที่กล้าเคลื่อนไหวโดยลำพังล้วนเป็นตัวร้ายชั้นยอด

แต่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับลุยเดี่ยวที่นี่ ย่อมดึงดูดสายตาผู้คน

เมื่อถามสารทุกข์สุขดิบกันเล็กน้อย ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก็บอกเขาว่า เพื่อช่วงชิงวาสนา ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อนก็ล้วนรุดเข้าไปในส่วนลึกของป่าต้นหม่อน

เว้นแต่จะพบวาสนาบางอย่าง หาไม่แล้วใครก็ไม่กล้าร่ำไรระหว่างทาง ทำเช่นนี้จะเปลืองพลังมากเกินไป

เมื่อหลินสวินรู้เรื่องเหล่านี้ก็ตระหนักได้ หลังจากกล่าวลาผู้ฝึกปราณเหล่านั้นก็เดินหน้าต่อไป

“เจ้าหนุ่มนี่… คงไม่ใช่หลินสือเอ้อร์ที่มีชื่อเสียงขึ้นกะทันหันในหลายวันมานี้กระมัง”

มีผู้ฝึกปราณบางคนสงสัย

“ก็น่าจะเป็นเขา ไม่เห็นหรือว่าเขาถือธนูกระดูกขาวคันใหญ่กับลูกศร แต่งกายเหมือนหลินสือเอ้อร์เด็กหนุ่มผู้กล้าที่เล่นงานราชันกึ่งระดับด้วยศรเดียวผู้นั้นไม่มีผิด!”

“มิน่าถึงกล้าเคลื่อนไหวตามลำพัง…”

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง พอจะเดาตัวตนของหลินสวินออก

“แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็คือป่าต้นหม่อน เขาถึงกับกล้าปรากฏตัวที่นี่คนเดียว ไม่กังวลว่าจะถูกยอดฝีมือในหมู่สวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นฆ่าเอาหรือ”

ทั้งยังมีผู้ฝึกปราณกระวนกระวายใจ เป็นกังวลแทนหลินสวิน

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์