แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับกระบวนแปรจุติก็ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อนแทบทั้งนั้น น้อยนักที่จะมาสำรวจที่นี่ตามลำพัง
ตลอดทางหลินสวินไม่ได้อ้อยอิ่ง ขอเพียงสังเกตว่ามีคน ก็จะชิงหลบออกมาก่อนแล้วเดินอ้อม ด้วยไม่ต้องการต่อสู้โดยไม่มีเหตุผล
ตู้ม!
ไม่นานนักหลินสวินรับรู้ได้ว่าข้างหน้ามีเงาร่างศัตรูปรากฏขึ้น เขากำลังเตรียมตัวหลบแต่ไกล กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ สายฟ้าสีเลือดเส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาจากฟ้า
ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งสลายเป็นจุณในชั่วอึดใจ ร่างกายมลายหายไปในสายฟ้าสีเลือด ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ
ภาพนั้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้หลินสวินก็สูดหายใจเย็นเยียบโดยไม่รู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง กลับพบว่าไม่อาจหาที่มาของสายฟ้าสีเลือดนั้นในห้วงอากาศไร้ขอบเขตได้เลย
นี่ก็คือความน่ากลัวของป่าต้นหม่อน มีภัยพิบัติและปรากฏการณ์ประหลาดที่คาดเดาได้ยาก แม้จะระมัดระวังอย่างยิ่งยวดก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆ และสิ้นชีพโดยเฉียบพลันในที่สุด
หลินสวินเม้มปาก สูดลมหายใจลึกแล้วเดินหน้าต่อไป อันตรายที่ไม่เป็นมงคลและแปลกประหลาดเช่นนี้ทดสอบความกล้าหาญและความใจสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น เกรงว่าจะหวาดกลัวภาพที่เห็นแล้วกลับไปกลางทางนานแล้ว
เมื่อเดินหน้าต่อไปไม่นานนัก ฟ้าดินเริ่มบังเกิดเมฆหมอกสีแดงสดราวโลหิตชั้นแล้วชั้นเล่า ดูน่ากลัวบาดตา
หมอกเลือดเช่นนี้ชอบกลนัก มันขัดขวางการรับรู้จิตวิญญาณ นอกจากนี้ถ้าไม่ระวังและสลายหมอกไป มันก็จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย กัดกร่อนสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ
กึด!
หลินสวินง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนตึง แต่ไม่ยิงออกไป หลังจากมาถึงที่นี่ พลังจิตวิญญาณก็ถูกกีดกั้น ไม่อาจรับรู้ถึงภยันตรายได้อีก ทำได้เพียงอาศัยความสามารถในการต่อสู้เสี่ยงโชคหลบภัย
ทว่าเวลานี้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ได้แสดงคุณประโยชน์ของมันออกมาแล้ว ด้วยมันมีอานุภาพหยั่งรู้ทัศนวิสัย สามารถมองทะลุภาพมายาได้!
ดังคาด ชั่วพริบตาทัศนวิสัยของหลินสวินก็แปรเปลี่ยนเป็นกว้างไกล ไม่ถูกหมอกโลหิตเหล่านั้นรบกวนอีก สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้พันลี้
หืม?
ผ่านไปครู่หนึ่งดาบหักที่แขวนไว้ที่บั้นเอวจู่ๆ ก็สั่นไหวขึ้นมา ทำให้ดวงตาสีดำของหลินสวินวาวโรจน์ขึ้น เขาสงบใจรับรู้
เขามาถึงหน้าเนินดินสีน้ำตาลอมเทาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ที่นี่ดูเป็นปกติไม่สะดุดตานัก แต่เมื่อมาถึง ดาบหักยิ่งสั่นไหวรุนแรงขึ้น
หลินสวินหยุดเดินแล้วคุกเข่าลงไป ใช้ดาบหักขุดดินจนพลิกกระเด็น ไม่นานหน้าเนินดินก็ถูกขุดจนเป็นหลุมดินหลุมหนึ่ง
เคร้ง!
เมื่อขุดลึกลงไปห้าฉื่อ ดาบหักก็ติดขัด ส่งเสียงกระทบเหมือนหอกชนกัน ขณะเดียวกันรังสีเงินยวงอ่อนโยนก็ปรากฏสู่สายตาของหลินสวิน
‘หินหยกอัศจรรย์ลายเงินหรือ’ หลินสวินนำมันออกมาอย่างตื่นเต้น ของเล่นนี้มีขนาดราวขันบาตร สีเงินยวงทั้งก้อน ส่องแสงออกมาราววารี
เกิดเสียงดังกรอบแกรบระลอกหนึ่ง หลินสวินออกแรงบีบมันให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภายในเผยให้เห็นกิ่งไม้สีหยกเขียวเรียวเล็กกิ่งหนึ่ง รูปร่างเหมือนเขากวาง อวลไปด้วยแสงสีเขียวหยก พลังชีวิตเข้มข้นกำจาย ทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่ง
‘คราวก่อนเป็นใบไม้ คราวนี้เป็นกิ่งไม้ แต่ล้วนมีกลิ่นอายมหามรรคกับพลังชีวิตลี้ลับอยู่ หรือว่าเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่งสลายไป แต่กิ่งก้านกับใบของมันไม่ได้หายไปด้วย ทว่าถูกหินหยกอัศจรรย์เหล่านี้ผนึกไว้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงยาวนานไร้ที่สิ้นสุด และถูกกลบฝังไว้ใต้ผืนดินแห่งนี้?’
‘ป่าต้นหม่อน… ป่าต้นหม่อน… ไม่แน่ว่า ไม่ว่าจะเป็นใบไม้คราวก่อนหรือกิ่งไม้คราวนี้ ก็ล้วนมาจากต้นหม่อนที่มีอานุภาพเหลือเชื่อต้นหนึ่ง?’
หลินสวินสันนิษฐานอย่างใจกล้า
ยามครุ่นคิดเขาก็ไม่ลังเล ใช้ดาบหักดูดซับพลังชีวิตจากกิ่งไม้นี้
เพียงครู่เดียวดาบหักก็ส่องแสงพลังชีวิตวูบวาบ ส่วนกิ่งไม้นั้นกลับสลายกลายเป็นฝุ่น
หลินสวินสงบใจสัมผัสดู ก็พบว่าดาบหักเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว แม้ไม่ชัดเจนแต่อย่างไรก็พัฒนาขึ้น
โดยเฉพาะรูปลักษณ์ของดาบหัก ร่องรอยลายมรรคลึกลับลายแล้วลายเล่าปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือราวจันทรากลางวารี แม้ยังคงเลือนลางดังเดิม แต่กลับเริ่มมีแนวโน้มจะชัดเจนยิ่งขึ้น
นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย เดิมทีพลานุภาพของดาบหักก็น่ากลัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นดาบร้ายเย้ยฟ้า หากสามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องทำให้พลังต่อสู้ของเขาดีขึ้นไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ในช่วงเวลาต่อมาหลินสวินไม่ได้รีบร้อนเดินทาง แต่เดินไปมาในบริเวณใกล้เคียง ขอเพียงดาบหักสั่นไหวส่งเสียง ก็หมายความว่าในบริเวณนั้นต้องมีสมบัติบางอย่างซ่อนอยู่
นี่ทำให้เขาประหยัดพลังไปมาก เพียงต้องเสาะหาตามปฏิกิริยาของดาบหักก็ได้เจอของดี
หลายชั่วยามผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แต่เวลานี้หลินสวินเก็บหินหยกอัศจรรย์ลายเงินได้สี่ก้อน หินหยกอัศจรรย์ลายทองสองก้อนอย่างต่อเนื่อง ภายในไม่มีใบไม้ก็มีกิ่งไม้ซ่อนอยู่ แม้จะมีขนาดเล็กนิดเดียว แต่พลังชีวิตลี้ลับกลับเต็มเปี่ยม
สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกดาบหักหลอมไปสิ้น
มาถึงตอนนี้เขาก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงดาบหัก เพียงอาศัยของพวกนี้ก็เหมือนเอาน้ำถ้วยหนึ่งไปดับไฟกองใหญ่ ไม่มีทางเติมเต็มได้เลย
แต่หลินสวินก็อดทนมาก ที่เขามาป่าต้นหม่อนคราวนี้ไม่ได้ต้องการวาสนาไร้เทียมทานอะไร ทั้งไม่มีกะจิตกะใจร่วมชิงสมบัติที่ทำให้เหล่าราชันต่อสู้ดุเดือดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
การเดินทางนี้สามารถฟื้นฟูและพัฒนาดาบหักสำเร็จครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เขาพอใจแล้ว
……
ราตรีมาเยือนแล้ว แม้เป็นในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารัตติกาลเข้าปกคลุมที่นี่ราวกระแสน้ำ
ทั้งร่างของหลินสวินสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ รับรู้ได้ถึงความกดดันที่บอกไม่ถูก ราวกับเมื่อยามราตรีมาเยือนจะเกิดเรื่องน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น
โครม!
ทันใดนั้นสายฟ้าสว่างจ้าสายหนึ่งฟาดตัดห้วงอากาศ ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน ในขณะเดียวกันฟ้าดินที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาก็มีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นพุ่งออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์