Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 714

สรุปบท ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี
ตอนที่ 714 ความน่ากลัวยามราตรี
โดย
ProjectZyphon
ระหว่างทางหลินสวินพบกับเงาร่างอีกไม่น้อย ทั้งผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน

แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับกระบวนแปรจุติก็ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อนแทบทั้งนั้น น้อยนักที่จะมาสำรวจที่นี่ตามลำพัง

ตลอดทางหลินสวินไม่ได้อ้อยอิ่ง ขอเพียงสังเกตว่ามีคน ก็จะชิงหลบออกมาก่อนแล้วเดินอ้อม ด้วยไม่ต้องการต่อสู้โดยไม่มีเหตุผล

ตู้ม!

ไม่นานนักหลินสวินรับรู้ได้ว่าข้างหน้ามีเงาร่างศัตรูปรากฏขึ้น เขากำลังเตรียมตัวหลบแต่ไกล กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ สายฟ้าสีเลือดเส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาจากฟ้า

ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งสลายเป็นจุณในชั่วอึดใจ ร่างกายมลายหายไปในสายฟ้าสีเลือด ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ

ภาพนั้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้หลินสวินก็สูดหายใจเย็นเยียบโดยไม่รู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง กลับพบว่าไม่อาจหาที่มาของสายฟ้าสีเลือดนั้นในห้วงอากาศไร้ขอบเขตได้เลย

นี่ก็คือความน่ากลัวของป่าต้นหม่อน มีภัยพิบัติและปรากฏการณ์ประหลาดที่คาดเดาได้ยาก แม้จะระมัดระวังอย่างยิ่งยวดก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆ และสิ้นชีพโดยเฉียบพลันในที่สุด

หลินสวินเม้มปาก สูดลมหายใจลึกแล้วเดินหน้าต่อไป อันตรายที่ไม่เป็นมงคลและแปลกประหลาดเช่นนี้ทดสอบความกล้าหาญและความใจสู้อย่างไม่ต้องสงสัย

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น เกรงว่าจะหวาดกลัวภาพที่เห็นแล้วกลับไปกลางทางนานแล้ว

เมื่อเดินหน้าต่อไปไม่นานนัก ฟ้าดินเริ่มบังเกิดเมฆหมอกสีแดงสดราวโลหิตชั้นแล้วชั้นเล่า ดูน่ากลัวบาดตา

หมอกเลือดเช่นนี้ชอบกลนัก มันขัดขวางการรับรู้จิตวิญญาณ นอกจากนี้ถ้าไม่ระวังและสลายหมอกไป มันก็จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย กัดกร่อนสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ

กึด!

หลินสวินง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนตึง แต่ไม่ยิงออกไป หลังจากมาถึงที่นี่ พลังจิตวิญญาณก็ถูกกีดกั้น ไม่อาจรับรู้ถึงภยันตรายได้อีก ทำได้เพียงอาศัยความสามารถในการต่อสู้เสี่ยงโชคหลบภัย

ทว่าเวลานี้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ได้แสดงคุณประโยชน์ของมันออกมาแล้ว ด้วยมันมีอานุภาพหยั่งรู้ทัศนวิสัย สามารถมองทะลุภาพมายาได้!

ดังคาด ชั่วพริบตาทัศนวิสัยของหลินสวินก็แปรเปลี่ยนเป็นกว้างไกล ไม่ถูกหมอกโลหิตเหล่านั้นรบกวนอีก สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้พันลี้

หืม?

ผ่านไปครู่หนึ่งดาบหักที่แขวนไว้ที่บั้นเอวจู่ๆ ก็สั่นไหวขึ้นมา ทำให้ดวงตาสีดำของหลินสวินวาวโรจน์ขึ้น เขาสงบใจรับรู้

เขามาถึงหน้าเนินดินสีน้ำตาลอมเทาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ที่นี่ดูเป็นปกติไม่สะดุดตานัก แต่เมื่อมาถึง ดาบหักยิ่งสั่นไหวรุนแรงขึ้น

หลินสวินหยุดเดินแล้วคุกเข่าลงไป ใช้ดาบหักขุดดินจนพลิกกระเด็น ไม่นานหน้าเนินดินก็ถูกขุดจนเป็นหลุมดินหลุมหนึ่ง

เคร้ง!

เมื่อขุดลึกลงไปห้าฉื่อ ดาบหักก็ติดขัด ส่งเสียงกระทบเหมือนหอกชนกัน ขณะเดียวกันรังสีเงินยวงอ่อนโยนก็ปรากฏสู่สายตาของหลินสวิน

‘หินหยกอัศจรรย์ลายเงินหรือ’ หลินสวินนำมันออกมาอย่างตื่นเต้น ของเล่นนี้มีขนาดราวขันบาตร สีเงินยวงทั้งก้อน ส่องแสงออกมาราววารี

เกิดเสียงดังกรอบแกรบระลอกหนึ่ง หลินสวินออกแรงบีบมันให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภายในเผยให้เห็นกิ่งไม้สีหยกเขียวเรียวเล็กกิ่งหนึ่ง รูปร่างเหมือนเขากวาง อวลไปด้วยแสงสีเขียวหยก พลังชีวิตเข้มข้นกำจาย ทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่ง

‘คราวก่อนเป็นใบไม้ คราวนี้เป็นกิ่งไม้ แต่ล้วนมีกลิ่นอายมหามรรคกับพลังชีวิตลี้ลับอยู่ หรือว่าเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่งสลายไป แต่กิ่งก้านกับใบของมันไม่ได้หายไปด้วย ทว่าถูกหินหยกอัศจรรย์เหล่านี้ผนึกไว้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงยาวนานไร้ที่สิ้นสุด และถูกกลบฝังไว้ใต้ผืนดินแห่งนี้?’

‘ป่าต้นหม่อน… ป่าต้นหม่อน… ไม่แน่ว่า ไม่ว่าจะเป็นใบไม้คราวก่อนหรือกิ่งไม้คราวนี้ ก็ล้วนมาจากต้นหม่อนที่มีอานุภาพเหลือเชื่อต้นหนึ่ง?’

หลินสวินสันนิษฐานอย่างใจกล้า

ยามครุ่นคิดเขาก็ไม่ลังเล ใช้ดาบหักดูดซับพลังชีวิตจากกิ่งไม้นี้

เพียงครู่เดียวดาบหักก็ส่องแสงพลังชีวิตวูบวาบ ส่วนกิ่งไม้นั้นกลับสลายกลายเป็นฝุ่น

หลินสวินสงบใจสัมผัสดู ก็พบว่าดาบหักเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว แม้ไม่ชัดเจนแต่อย่างไรก็พัฒนาขึ้น

โดยเฉพาะรูปลักษณ์ของดาบหัก ร่องรอยลายมรรคลึกลับลายแล้วลายเล่าปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือราวจันทรากลางวารี แม้ยังคงเลือนลางดังเดิม แต่กลับเริ่มมีแนวโน้มจะชัดเจนยิ่งขึ้น

นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย เดิมทีพลานุภาพของดาบหักก็น่ากลัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นดาบร้ายเย้ยฟ้า หากสามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องทำให้พลังต่อสู้ของเขาดีขึ้นไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ในช่วงเวลาต่อมาหลินสวินไม่ได้รีบร้อนเดินทาง แต่เดินไปมาในบริเวณใกล้เคียง ขอเพียงดาบหักสั่นไหวส่งเสียง ก็หมายความว่าในบริเวณนั้นต้องมีสมบัติบางอย่างซ่อนอยู่

นี่ทำให้เขาประหยัดพลังไปมาก เพียงต้องเสาะหาตามปฏิกิริยาของดาบหักก็ได้เจอของดี

หลายชั่วยามผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แต่เวลานี้หลินสวินเก็บหินหยกอัศจรรย์ลายเงินได้สี่ก้อน หินหยกอัศจรรย์ลายทองสองก้อนอย่างต่อเนื่อง ภายในไม่มีใบไม้ก็มีกิ่งไม้ซ่อนอยู่ แม้จะมีขนาดเล็กนิดเดียว แต่พลังชีวิตลี้ลับกลับเต็มเปี่ยม

สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกดาบหักหลอมไปสิ้น

มาถึงตอนนี้เขาก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงดาบหัก เพียงอาศัยของพวกนี้ก็เหมือนเอาน้ำถ้วยหนึ่งไปดับไฟกองใหญ่ ไม่มีทางเติมเต็มได้เลย

แต่หลินสวินก็อดทนมาก ที่เขามาป่าต้นหม่อนคราวนี้ไม่ได้ต้องการวาสนาไร้เทียมทานอะไร ทั้งไม่มีกะจิตกะใจร่วมชิงสมบัติที่ทำให้เหล่าราชันต่อสู้ดุเดือดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด

การเดินทางนี้สามารถฟื้นฟูและพัฒนาดาบหักสำเร็จครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เขาพอใจแล้ว

……

ราตรีมาเยือนแล้ว แม้เป็นในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารัตติกาลเข้าปกคลุมที่นี่ราวกระแสน้ำ

ทั้งร่างของหลินสวินสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ รับรู้ได้ถึงความกดดันที่บอกไม่ถูก ราวกับเมื่อยามราตรีมาเยือนจะเกิดเรื่องน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น

โครม!

ทันใดนั้นสายฟ้าสว่างจ้าสายหนึ่งฟาดตัดห้วงอากาศ ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน ในขณะเดียวกันฟ้าดินที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาก็มีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นพุ่งออกมา

แม้ไม่ได้อะไรเลย แต่ด้วยการสำรวจมาหลายวันก็ทำให้หลินสวินค่อยๆ ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมเสี่ยงภัยของป่าต้นหม่อนได้แล้ว

อีกทั้งเขาเริ่มมั่นใจว่าตนเข้าใกล้ส่วนลึกของป่าต้นหม่อนแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่พบระหว่างทางก็แข็งแกร่งและน่ากลัวขึ้นทุกที

ต่างเป็นบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติแทบทั้งนั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งราชันก็เห็นได้เกลื่อนกลาด

แต่เพราะป่าต้นหม่อนกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป แทบจะเหมือนแดนมารที่ลี้ลับและอันตรายแห่งหนึ่ง ทำให้เขาก็ไม่มีทางแน่ใจได้ว่า หากสำรวจต่อไปเช่นนี้จะไปถึงสุดทางป่าต้นหม่อนหรือไม่

วันนี้หลินสวินมาถึงเขตป่าหินที่เหี้ยนเตียนผืนหนึ่ง ที่นี่หมอกเลือดหนาทึบบดบังฟ้าดิน ดูผิดปกติถึงที่สุด

หืม?

ขณะที่เขากำลังจะเลี่ยงไป ดาบหักพลันสั่นไหวรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ ถึงขั้นส่งเสียงร้องชัดเจน เผยให้เห็นคลื่นแห่งความปรารถนาอย่างยิ่งยวด

หลินสวินลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็กัดฟันพุ่งเข้าไปในป่าหินที่อบอวลไปด้วยหมอกสีเลือดนั้น เพียงครู่เดียวก็ทำให้เขาได้พบ…

แท่นบูชาหักพังแท่นหนึ่ง แม้ดูหมองมัวแตกหักไม่สมบูรณ์ แต่กลับอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณไพศาล ดูไม่ธรรมดาถึงที่สุด

แท่นบูชา!

ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ยังมีของแบบนี้ด้วยหรือนี่

หลินสวินหยุดเดิน มองไปข้างหน้าก็เห็นว่าเศษซากแท่นบูชานี้รางเลือนและไม่สมบูรณ์นานแล้ว เดิมทีบนนั้นน่าจะปกคลุมไปด้วยลายสลักลึกลับ แต่มันสึกหรอจนเห็นแต่รอยขีดข่วน

และตอนนี้ดาบหักสั่นไหวไม่หยุด คมดาบอบอวลไปด้วยคลื่นรุนแรง เหมือนปรารถนาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแท่นบูชาที่หักพังนี้อย่างยิ่ง

หลินสวินสูดหายใจลึกๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้วถึงเริ่มลงมือขุดขึ้นมา

เปรี๊ยะๆ…

ซากแท่นบูชานี้ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายระหว่างที่ขุด เศษหินโบราณร่วงพรูลงมา

“นี่…”

เพียงครู่เดียวหลินสวินก็สั่นสะท้าน จิตใจบังเกิดคลื่นโหมซัดสาด ด้านล่างของแท่นบูชามีแสงเจิดจรัสเผยให้เห็น ไหลเวียนรุ่งโรจน์ แสงเทพเส้นแล้วเส้นเล่าพวยพุ่ง เหมือนภาพนิมิตสายรุ้ง

ที่น่าตกตะลึงก็คือล้วนกระจายออกมาจากหินหยกอัศจรรย์กองหนึ่ง! มีทั้งลายทอง ลายเงิน ลายทมิฬ ลายอัคคี ลายวารี…

หินพวกนั้นกองอยู่ตรงนั้นแน่นขนัด แต่ละก้อนใหญ่ขนาดเท่ากำปั้น แสงสมบัติที่ไหลเอ่อออกมาเข้มข้นสะดุดตาหาใดเทียบ

หลินสวินตื่นเต้นจนเกือบร้องเสียงดังออกมา เก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้มาหลายวันติดต่อกัน ใครจะคิดว่าวันนี้กลับปรากฏออกมาเยอะขนาดนี้ในคราวเดียว!

__

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์