หลินสวินกำลังทำแผลให้อาปี้ อาปี้จ้องมองเขาอย่างงุนงง จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ทำไมยังจะช่วยข้าอีก ข้าเพียงอยากอธิบายว่า การมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดเกินไป ข้าไม่อยากได้ยินข่าวร้ายของเพื่อนๆ อยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป…”
หลินสวินพูดสบายๆ “ไม่ว่าจะแก้แค้นหรือเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดทุกอย่างที่เจ้าแบกรับ การมีชีวิตอยู่จึงจะมีความหวัง”
“ความหวังหรือ”
อาปี้ยิ้มอย่างขมขื่น “หลายพันปีมานี้ จักรวรรดิกับพวกสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนเข่นฆ่ากันในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้มาโดยตลอด ใครเล่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ได้”
“สักวันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง” หลินสวินพูดอย่างนิ่งสงบ
“เจ้าเชื่อหรือ” อาปี้ถาม
หลินสวินมองตาอาปี้อย่างจริงจังแล้วกล่าว “เจ้าก็รู้ว่าหลายพันปีมานี้ มีผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมากมายเคยต่อสู้ที่นี่ หากพวกเขายอมแพ้ตั้งแต่ตอนแรก เจ้าคิดว่าจะมีจักรวรรดิในวันนี้หรือ”
“เหอะๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีจิตใจที่รักบ้านเมือง คิดถึงประชาชนของจักรวรรดิ เมื่อก่อนดูถูกปณิธานของเจ้าเกินไปจริงๆ” อาปี้หัวเราะเยาะ
“ข้าไม่ได้มีจิตสำนึกที่สูงส่งขนาดนั้นหรอกนะ”
หลินสวินยักไหล่ ก่อนจะไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่เหมือนเจ้า ที่ไม่อยากเห็นเรื่องเจ็บปวดที่เจ้าประสบเกิดขึ้นอีก…”
พูดถึงตอนท้าย เขาถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “เจ้าเจ็บปวดมาก เหล่าทหารหาญของจักรวรรดิคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ แต่ใครจะกล้ายอมแพ้ง่ายๆ เจ้ายังจำประโยคนั้นได้หรือไม่ ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!”
อาปี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วปัดก้นลุกขึ้นยืน ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความดุดันแฝงยิ้มขื่น “เจ้าไม่ใช่นักเจรจาที่ดีเอาเสียเลย พูดเรื่องบ้านเมืองกับผู้หญิงอย่างข้า เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจหรือ”
“อย่างน้อยขอเพียงแค่เจ้าไม่รนหาที่ตายอีก ข้าก็ไม่เสียแรงเปล่า”
หลินสวินเองก็ลุกขึ้นพูดอย่างสบายๆ “ข้ามีเพื่อนในค่ายหมายเลขเจ็ดไม่มากนัก หากเจ้าตาย ความเจ็บปวดที่เจ้าประสบตอนนี้ก็จะมาตกอยู่ที่ข้า เพราะฉะนั้นในฐานะเพื่อน ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารนหาที่ตายโดยไม่ทำอะไรเลย”
อาปี้อึ้งงันไป จู่ๆ ก็ยื่นสองแขนออกไปกอดหลินสวินไว้แน่น พักใหญ่จึงพึมพำเสียงเบา “ขอบคุณเจ้า เจ้าหน้ามน”
……
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาปี้ก็กลับเป็นปกติ ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
หลินสวินกลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด
สถานการณ์ของสมรภูมิกระหายเลือดปั่นป่วนและตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลมแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน ในค่ายมักจะได้ยินข่าวร้ายต่างๆ จากสนามรบอยู่ตลอดเวลา
“เหล่าหวงออกไปปฏิบัติภารกิจและประสบเคราะห์ไปแล้ว…”
วันนี้หลินสวินกำลังจะชวนหล่าหวงหัวหน้าทหารยามคุ้มกันค่ายมาดื่มด้วยกัน แต่กลับได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้จากปากหลูเหวินถิง
หลินสวินอึ้งไปพักใหญ่ค่อยหมุนตัวออกไปเงียบๆ
เพื่อนจากไปอีกคนแล้ว
คืนนั้นหลินสวินนั่งดื่มอย่างหนักเพียงลำพัง นึกถึงช่วงเวลาครั้งแรกที่ดื่มกับเหล่าหวงที่โรงเตี๊ยม
‘ใต้เท้าท่านรู้หรือไม่ ข้าแช่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเห็บหมานี่มาห้าปีแล้ว ห้าปีเชียวนะ พรรคพวกข้างกายข้าเปลี่ยนไปชุดแล้วชุดเล่า ทั้งคนที่คุ้นเคยและแปลกหน้า จนบัดนี้ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าข้าควรจำใครบ้าง’
‘คนอื่นล้วนบอกว่าข้าดวงแข็ง ห้าปีแล้วยังไม่ตาย เหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่ตัวข้าเองรู้ดี ข้าแม่งก็แค่กลัวตายเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สู้รบ ข้าล้วนทำทุกวิธีให้ตัวเองไม่ตายแบบสุดแรงเกิด ถึงได้บังเอิญอยู่รอดมาจนป่านนี้…’
‘แต่ว่า การรอดชีวิตแบบนี้มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน! ทุกๆ วันยามตื่นขึ้นมา ความคิดแรกก็คือควรรอดชีวิตให้พ้นวันนี้ไปได้อย่างไร! เรื่องต่อจากนี้และอนาคตอะไรนั่น ใครแม่งมันจะไปใส่ใจกัน’
‘เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ที่นี่เป็นสมรภูมิกระหายเลือดเล่า ความตายล้วนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เผลอๆ วันใดวันหนึ่ง ข้า… ข้า… ก็…’
เสียงหลังจากเมาของเหล่าหวงราวกับยังดังอยู่ข้างหู แต่ตัวคนกลับจากไปแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาล ในห้องหลินสวินมีเพียงเสียงทอดถอนใจดังขึ้นเบาๆ “เหล่าหวง เจ้ามันปากเสีย…”
เช้าวันถัดมา หลินสวินก็ออกจากค่ายไป
……
สมรภูมิกระหายเลือด แดนดูดเลือด
ทัพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนจำนวนนับร้อยคนกำลังเร่งเดินทาง
แม้กำลังคนไม่มาก ทว่าแต่ละคนต่างเป็นพ่อมดเถื่อนมือฉมัง มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทถึงห้าคนออกบัญชาการด้วยตัวเอง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์