ตอน ตอนที่ 740 ข่าวลือของแดนเร้นอริยะ จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 740 ข่าวลือของแดนเร้นอริยะ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ไม่นานจ้าวซิงเย่ก็ให้คำตอบหนึ่ง
ทว่าคำตอบนี้กลับทำให้หลินสวินตกใจ เคยฆ่าอริยะที่แท้จริง! น่าทึ่งเกินไปแล้ว
ในภาพจำของหลินสวิน อริยะแทบจะไม่มีใครเทียบ สามารถเด็ดดวงดาวช่วงชิงจันทรา สามารถท่องทั่วสารทิศ อยู่ยงพร้อมกาลเวลา จรัสแสงเทียบสุริยันจันทรา
แต่ตอนนี้กลับบอกว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารเคยฆ่าอริยะ แรงสั่นสะเทือนระดับนี้สามารถจินตนาการได้ว่าแข็งแกร่งเพียงใด
แม้แต่จ้าวซิงเย่ที่มั่นใจเรื่องนี้มานานแล้ว สีหน้าในตอนนี้ยังดูแปลกประหลาดเล็กน้อย ผลลัพธ์นี้น่าทึ่งมากจริงๆ แม้แต่นางจนตอนนี้ยังไม่สามารถจินตนาการได้ว่า เหตุใดธนูนี้จึงมีอดีตที่คาวเลือดและสะดุดตาเช่นนี้
ฆ่าอริยะ!
แค่จุดนี้ก็เพียงพอทำให้ตะลึงไปทั่วหล้าแล้ว
สิ่งที่ทำให้จ้าวซิงเย่รู้สึกเหลือเชื่อที่สุดคือ ธนูนี้เคยฆ่าอริยะไม่ใช่แค่คนเดียว…
“ธนูนี้เคยเปื้อนเลือดอริยะ เคยสังหารจิตวิญญาณของอริยะ ถ้าเป็นในบรรพกาล เรียกได้ว่าเป็นอาวุธดุร้ายไร้เทียมทาน เพียงแต่ตอนนี้มันเสียหายอย่างหนัก ความดุร้ายและคาวเลือดภายในมีมากเกินไป สักวันจะต้องระเบิดออกมาอย่างแน่นอน”
จ้าวซิงเย่มองหลินสวินสีหน้าจริงจัง “หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้จะต้องโดนพลังสะท้อนกลับของมันอย่างแน่นอน ผลลัพธ์เช่นนั้นเจ้าไม่สามารถรับได้แน่!”
หลินสวินหรี่ตา เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดเลยว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารจะมี ‘ภัยเงียบ’ เช่นนี้ซ่อนอยู่
“พลังสะท้อนกลับ…” เขาอดถามไม่ได้ “น่ากลัวเพียงใด”
ดวงตาคู่งามของจ้าวซิงเย่กวาดมองหลินสวินปราดหนึ่งพร้อมพูดง่ายๆ ว่า “ตอนที่ฆ่าจินเจาสุ่ยราชันสายคนเถื่อนทองคำ ความดุร้ายที่จำศีลอยู่ในธนูนี้พรั่งพรูออกมาโดยไม่ตั้งใจ เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น กลับทำให้จิตวิญญาณของข้าได้รับผลกระทบ เกือบจะถูกช่วงชิงจิตใจไป”
“และตอนที่ฆ่าราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคี กลับมีความเคียดแค้นที่อริยะหลงเหลือเอาไว้ก่อนตายพุ่งออกจากธนู ทำให้การขับเคลื่อนของพลังของข้าเกือบจะพังทลาย”
จ้าวซิงเย่พูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ปรากฏความหวาดกลัวและตระหนก “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะในมือข้าถือสมบัติลับที่ปกป้องจิตวิญญาณ ยามฆ่าราชันนภาเพลิง ข้าเองก็คงถูกธนูนี้โจมตีจิตวิญญาณ ตายคาที่ไปแล้ว”
คำพูดแม้จะเรียบเฉย แต่หลินสวินกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว สูดหายใจอย่างตกใจ
จ้าวซิงเย่เป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาราชันอย่างแน่นอน ทว่าแม้แต่นางยังถูกพลังสะท้อนกลับของธนูวิญญาณไร้แก่นสารถึงสองครั้ง ทั้งยังอันตรายขึ้นทุกครั้ง ถึงขั้นที่เกือบสิ้นชีพ!
จากเรื่องนี้แค่คิดก็รู้ว่า พลังดุร้ายที่สะสมอยู่ภายในธนูวิญญาณไร้แก่นสารน่าพรั่นพรึงเพียงใด
“แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป พลังปราณยิ่งมาก พลังสะท้อนกลับตอนใช้ธนูนี้ก็ยิ่งรุนแรง ในเมื่อจนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่เคยเจอปัญหาพลังสะท้อนกลับ ก็เป็นการยืนยันว่า ณ ตอนนี้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารยังไม่มีทางทำร้ายเจ้าได้”
จ้าวซิงเย่เหมือนจะเดาออกว่าหลินสวินกังวลใจ จึงพูดว่า “แต่ในอนาคตพลังปราณของเจ้ายิ่งสูงก็ยิ่งต้องระวังปัญหานี้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอานุภาพที่ซ่อนอยู่ภายใน นอกเสียจากว่า…”
หลินสวินหัวใจสะท้าน “นอกจากอะไร”
“นอกจากว่าเจ้าจะสามารถตามหาวิญญาณอาวุธที่หายไปกลับมา”
“วิญญาณอาวุธหรือ”
“ไม่ผิด สมบัติระดับไร้เทียมทานเช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่ถือกำเนิดขึ้นก็หล่อเลี้ยงวิญญาณของตนออกมา เปรียบเสมือนร่างกายมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ”
ดวงตาคู่งามของจ้าวซิงเย่พร่างพรายด้วยแววฉลาดเฉลียว “สมบัติระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอริยะกายสิทธิ์ เพราะมีเพียงอริยะที่ควบคุมกฎระเบียบมหาวิถีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะสามารถสร้างสมบัติเช่นนี้ได้”
“วิญญาณอาวุธ…สมบัติอริยะกายสิทธิ์…”
หลินสวินพึมพำ คล้ายขบคิดอะไรอยู่
“ข้าแนะนำเจ้าว่าถ้าในอนาคตเดินทางไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ หากมีโอกาส สามารถไป ‘หุบเขาตะวันคล้อย’ แห่งแดนเร้นอริยะอันลึกลับนั่นสักรอบ”
จู่ๆ จ้าวซิงเย่ก็แนะนำเช่นนี้
หลินสวินไม่รู้จักแดนเร้นอริยะและไม่มีความรู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ยินคำว่าหุบเขาตะวันคล้อย เขาก็ชะงักไปทันควัน
เขานึกขึ้นได้ว่า ตอนที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ยามเขาบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นกลาง เคยทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินอย่างบุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า ปรากฏการณ์ที่งดงามไพศาล เรียกได้ว่าเป็นความงามที่ยิ่งใหญ่ของโลก
แต่เจ้าคางคกกลับดูถูกสิ่งนี้ เคยพูดว่าในสมัยบรรพกาลมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งชื่อว่าหุบเขาตะวันคล้อย มีปักษาเทพกาทองจำแลงเป็นดวงอาทิตย์ ครอบครองภายในนั้นอยู่นานปี ปลดปล่อยแสงเทพสาดส่องไปยังเหล่าเทวะ ทิวทัศน์นั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นภาพอัศจรรย์แห่งฟ้าดิน ความวิเศษแห่งธรรมชาติ
ตอนนั้นหลินสวินยังนึกสงสัย คิดว่าเจ้าคางคกคุยโวอีกแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินชื่อหุบเขาตะวันคล้อยอีกครั้งจากปากจ้าวซิงเย่ หลินสวินจึงตระหนักได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เจ้าคางคกพูดมีอยู่จริง!
“ยังจำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนใช้ธนูนี้ได้หรือไม่ ดวงอาทิตย์ตกร่วงหล่นจากท้องฟ้าคราม กาทองร่ำไห้เป็นสายเลือดไหลลงมหาสมุทร ธนูนี้เคยฆ่าอริยะของเผ่าอีกาทอง!”
จ้าวซิงเย่วิเคราะห์และพูดว่า “อยากรู้ว่าวิญญาณอาวุธของธนูนี้ถูกทิ้งไว้ที่ไหน หุบเขาตะวันคล้อยเป็นที่ที่ควรไปที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ที่นั่นเคยเป็นรังของเผ่าอีกาทองบรรพกาล แม้แต่ตอนนี้ในนั้นก็ยังมีความลับที่ยังไม่สามารถเข้าใจได้อีกมากมายซ่อนอยู่”
หลินสวินพยักหน้าอย่างตั้งใจ จำขึ้นใจแล้ว
“ถ้าหาวิญญาณอาวุธเจอ ไม่เพียงสามารถสยบความดุร้ายที่สะสมอยู่ภายในธนูนี้ได้ ยังเพียงพอทำให้ธนูนี้คืนอานุภาพเดิมได้ส่วนหนึ่ง”
นิ้วมือขาวผ่องเรียวยาวจ้าวซิงเย่ลูบบนธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ตัวธนูทำจากกระดูกสีขาวกระจ่าง ดูดุร้ายผิดปกติ แต่ไม่เพียงไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดหวั่น กลับยังให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง
บรรยากาศอันเงียบสงบและสันติที่หายากเช่นนี้ กลับทำให้หลินสวินไม่คุ้นชินนัก
ทว่าเขากลับไม่หยุดพัก ในแต่ละวันนอกจากขยันฝึกยุทธ์ ก็จะไปที่กองยุทโธปกรณ์ ช่วยเหล่าผู้ฝึกปราณหลอมหรือซ่อมอาวุธ
เมื่อมีเวลาว่างก็จะไปหาสหายอย่างหลูเหวินถิง อาปี้และเหยียนเฟิง ดื่มสังสรรค์กัน เพียงแต่ทุกครั้งที่สังสรรค์กัน หลินสวินก็อดนึกถึงเหล่าหวงและหูทงที่จากไปแล้วไม่ได้ ในใจก็ไม่วายจะรู้สึกหดหู่
ชีวิตราบเรียบมาก บางทีหลินสวินรู้สึกเบื่อหน่าย ก็จะออกจากค่ายไปเดินเล่นในสมรภูมิกระหายเลือดเพียงลำพัง
โลกนี้มีทิวทัศน์มืดสลัว อึมครึม อันตรายและรกร้างว่างเปล่าอยู่เสมอ แม้ในสนามรบไม่มีศัตรูแล้ว แต่ยังคงมีภัยธรรมชาติและอันตรายมากมายซ่อนอยู่
ทว่าหลินสวินคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่ตั้งนานแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นและอกสั่นขวัญแขวนเหมือนตอนแรกที่มา
และมีหลายครั้งตอนที่ผ่านป่าต้นหม่อน หลินสวินอดยืนมองไกลๆ ไม่ได้ มักคิดถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งที่สูงตระหง่านโดดเด่น นึกถึงจักจั่นทองที่มีความปรารถนาอยากให้สรรพชีวิตบนโลกกลายเป็นอริยะ
และจะนึกถึงผีเสื้อราตรีสีเลือดที่เสียงใสกระจ่างอบอุ่น อานุภาพกลับทะลวงฟ้าตัวนั้น รวมทั้งจักจั่นขาวที่ส่งเสียงร้องทีเดียวสะเทือนไปทั้งเก้าชั้นฟ้า
จริงสิ มังกรเจียวสีเขียวยักษ์ตัวนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่ก้าวสู้อริยมรรคเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีตำหนักมรรคลึกลับที่ปรากฏขึ้นในโลก ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน เพียงแค่บันไดก็มีถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ราวกับบันไดสู่สวรรค์! มันเคยเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างท้องฟ้า ย้อมฟ้าดินผืนนี้ด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์งดงาม ปรากฏการณ์ประหลาดไร้ขีดจำกัด
ภายในตำหนักมรรคอันลึกลับไม่อาจรู้ ซ่อนอะไรอยู่กันแน่
เหตุใดจึงดึงดูดสิ่งมีชีวิตอริยมรรคมากขนาดนั้นให้เข้าไปแย่งชิง โดยไม่เกรงกลัวว่าจะเกิดการปะทะรุนแรงนองเลือด
หลินสวินไม่รู้ว่าป่าต้นหม่อนแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถูกหมอกควันสีเลือดหนาปกคลุมไปหมด ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินย่อมไม่กล้าก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
แต่หลินสวินมั่นใจว่า บางทีเมื่อพิบัติมหามรรคมาเยือน บรรดาสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวที่จำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อน จะต้องไม่นิ่งเฉยและปรากฏตัวสู่โลกเป็นแน่!
เวลารวดเร็วดั่งลูกธนู ผ่านไปอย่างว่องไว
ช่วงเวลาที่หนทางสู่จักรวรรดิเปิดออกได้มาเยือนอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว…
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์