ใจกลางค่ายหมายเลขเจ็ด ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่นิ่งสงบมานานถูกเปิดใช้ ปลดปล่อยคลื่นอันคลุมเครือ
หลินสวินแบกห่อสัมภาระ ยืนรออยู่ด้านหน้าเงียบๆ พร้อมกลุ่มผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิ
จะจากไปแล้ว
นึกถึงทุกอย่างที่เจอตั้งแต่เข้ามาในสมรภูมิกระหายเลือดจนถึงตอนนี้ ในใจหลินสวินก็ไม่วายจะรู้สึกหดหู่
ในอนาคตจะต้องกลับมาอีกแน่!
……
“คุณชายหลิน รักษาตัวด้วย!”
ห่างออกไป ทหารหาญจักรวรรดิมากมายมาส่ง แต่ละคนต่างอาลัยอาวรณ์
“ปฐมาจารย์หลิน ในอนาคตถ้ามีโอกาสต้องกลับมาเยี่ยมพวกเรานะ”
กลุ่มนักสลักวิญญาณของกองยุทโธปกรณ์ นำโดยปรมาจารย์อิงก็มาส่งหลินสวิน
“ฮ่าๆๆ อย่ากังวลว่าหนทางเบื้องหน้าไร้มิตรรู้ใจ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดมิรู้จักท่าน! น้องชายข้า รอเมื่อไหร่ที่ข้าเบื่อหน่ายชีวิตในสนามรบ จะกลับไปดื่มกับเจ้า!”
หลูเหวินถิงหัวเราะเสียงดัง ดื่มเหล้าในกาคราหนึ่งแล้วยื่นให้หลินสวิน
“บนเส้นทางการต่อสู้มหามรรคในภายภาคหน้า จะต้องมีที่ยืนสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน หวังเพียงว่าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก”
เหยียนเฟิงที่ปกติเงียบขรึมพูดน้อยก็ส่งเสียงในเวลานี้ มองหลินสวินอย่างตั้งใจ
หลินสวินกวาดสายตาผ่านใบหน้าของทุกคน ในใจรู้สึกอบอุ่น คนเหล่านี้ล้วนเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เคยเคียงบ่าเคียงไหล่สู้ศึกกันมา!
ทว่าสุดท้ายตอนที่สายตาของหลินสวินมองไปยังจ่างซุนเลี่ยที่อยู่ในระยะไกล อีกฝ่ายกลับสีหน้าหงุดหงิด โบกมือปัดเหมือนไล่แมลงวันพร้อมพูดว่า “รีบไสหัวไปเถอะ อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้ข้าอีก ตั้งแต่เจ้าปรากฏตัว หัวข้าใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัวแล้ว”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครงทันที
หลินสวินเองก็ไม่วายกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เปิดออกแล้ว ไม่สามารถยื้อเวลาได้อีกต่อไป ทรัพยากรเสริมจากจักรวรรดิและทหารที่ส่งมาใหม่ ล้วนต้องส่งผ่านช่องทางนี้
“ลาก่อนทุกท่าน!”
หลินสวินประสานหมัด คารวะไปรอบๆ จากนั้นก้าวเข้าไปภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยกันกับกลุ่มผู้ฝึกปราณที่จะกลับจักรวรรดิเช่นเดียวกับเขา
“ลาก่อน!”
ห่างออกไป ทุกคนประสานหมัดโดยพร้อมเพรียง
จะจากกันแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก หรือบางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว
ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนอัดอั้นตันใจอย่างมาก
เพราะเห็นความเป็นความตายและการจากลาในสมรภูมิกระหายเลือดมากเกินไป จึงยิ่งเข้าใจความหมายของการจากลา!
แม้แต่จ่างซุนเลี่ยยังขยับริมฝีปากเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป สุดท้ายเขาเพียงโบกมืออย่างเงียบๆ
อาปี้ล่ะ?
ชั่วขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายขับเคลื่อน สุดท้ายหลินสวินก็ไม่ได้เห็นอาปี้ จึงอดชะงักไม่ได้
‘ก็จริง ด้วยนิสัยของนางย่อมไม่ยอมมาส่งแน่’
ในเวลาเดียวกัน ภายในบ้านหินหลังหนึ่งในค่าย อาปี้นั่งอยู่คนเดียว นิ้วทั้งสิบประสานกัน หน้าอกขยับเคลื่อนอย่างไม่สงบ ดูเหมือนนั่งนอนไม่เป็นสุขอยู่บ้าง
นอกหน้าต่างเสียงอำลาดังขึ้นเป็นระลอกๆ ดังก้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ในใจอาปี้ยิ่งลนลานและดิ้นรน
จะไปพบเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
ฟันขาวของอาปี้กัดริมฝีปาก สุดท้ายก็สับเท้าแรงๆ ลุกขึ้นพุ่งออกจากห้องราวกับสายลม
เพียงแต่ตอนที่นางพุ่งออกจากประตูห้อง ตรงบริเวณค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างนั้นแล้ว
ไปแล้วหรือ
อาปี้สั่นเทาไปทั้งตัว ในใจรู้สึกหดหู่อย่างรุนแรง
“เจ้าหน้ามน ต่อไป… จำไว้ว่าอย่าไปทำดีแบบนี้กับผู้หญิงอีกล่ะ พวกนางหวั่นไหวง่าย จะจำความดีของเจ้า อยากลืมเจ้าคงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว…”
ครู่ใหญ่อาปี้จึงพึมพำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน
……
วันนี้สมรภูมิกระหายเลือดได้เปิดเส้นทางสู่จักรวรรดิ ภายในค่ายทั้งแปดของจักรวรรดิ ล้วนกำลังดำเนินฉากบอกลากัน
ในทำนองเดียวกันมีผู้คนหน้าใหม่ ทหารจักรวรรดิกลุ่มใหม่ถูกส่งไปยังสมรภูมิกระหายเลือดอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มคนใหม่เข้ามาเปลี่ยนคนเก่า ประจำการในแนวหน้าของจักรวรรดิตลอดปี ศัตรูไม่ตาย สงครามก็ไม่หยุด!
“พวกมือใหม่เห็นหรือยัง นี่คือกระดานอันดับเหรียญกล้าหาญ! สามารถมีชื่อด้านบนได้ ก็จะเป็นผู้มีชื่อเสียงในค่ายของเรา”
“กระดานอันดับนี้หมายถึงเกียรติยศอันไร้เทียมทาน แต่พวกเขายิ่งควรจะเข้าใจว่า เบื้องหลังของทุกเกียรติยศ ล้วนมาพร้อมกับเลือดและน้ำตาที่ไม่รู้จบ!”
ทหารอาวุโสคนหนึ่งนำผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิกลุ่มใหม่ชื่นชมกระดานอันดับเหรียญกล้าหาญในค่ายอยู่
“หลินสือเอ้อร์เป็นใคร ถึงกับสามารถอยู่ในอันดับสามของอันดับเหรียญกล้าหาญได้ด้วยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ? นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์