บนภูเขาชำระจิตคึกคักกันทั่วหน้า กลุ่มบุคคลสำคัญของตระกูลหลินถูกเรียกมารวมตัวกันอยู่ในโถงใหญ่ตำหนักชำระจิตโดยพร้อมเพรียง
แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างพวกหลินซีซี หลินอวิ๋นเหิงและหลินเป่ยกวงต่างมากันพร้อมหน้า
นอกตำหนัก กลุ่มลูกหลานสายรองทั้งหมดต่างยืนรออยู่เงียบๆ อย่างเคร่งขรึม
ยิ่งบริเวณที่ไกลออกไป บ่าวรับใช้และคนคุ้มกันมากมายกำลังปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง
พูดได้ว่าชั่วขณะที่รู้ว่าหลินสวินกลับมา ทุกคนในภูเขาชำระจิตต่างหยุดการกระทำในมือลงและมาต้อนรับ!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เพียงพอจะยืนยันว่าได้ว่า ตอนนี้ฐานะของหลินสวินในตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
หรือพูดอีกอย่างว่า นี่คืออานุภาพของผู้นำตระกูล!
ภายในโถงใหญ่ตำหนักชำระจิตตอนนี้ บรรยากาศยังคงเคร่งขรึม กลุ่มแกนนำอย่างพวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง หลินไหวหย่วน จูเหล่าซานยังคงเข้าร่วมประชุมตามลำดับ
ในเวลาเดียวกันเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลสายรองต่างนั่งอย่างเรียบร้อย ไม่กล้าเฉยเมยดูแคลนสักนิด
หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง มองแต่ละใบหน้าที่คุ้นเคยในห้องโถง มองดูกลุ่มลูกหลานตระกูลหลินนอกโถง รวมทั้งผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ในใจเขาพลันสงบและเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความทุ่มเทและการต่อสู้ของตนตั้งแต่เข้าสู่นครต้องห้าม ก็เพื่อทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามิใช่หรือ
ตอนนี้ในที่สุดตระกูลหลินก็ผงาดขึ้นมาในนครต้องห้ามอีกครั้ง หยัดยืนด้วยท่าทีอันแข็งแกร่ง แนวโน้วที่จะพัฒนาขึ้นไม่สามารถขวางกั้นได้แล้ว!
ตอนที่อารมณ์ของหลินสวินกำลังไหวกระเพื่อมอยู่นั้น ทุกคนในโถงต่างกำลังสังเกตหลินสวินที่หายไปนานครึ่งปี
‘ร่างกายอาบกลิ่นอายเข่นฆ่า บุคลิกยิ่งดูหนักแน่น เมื่อเทียบกับตอนแรก กลายเป็นคนละคนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย…’
พญาแร้งถอนหายใจในใจ เขาแทบจะคอยมองดูอยู่ตลอด ว่าหลินสวินประสบความสำเร็จในนครต้องห้ามทีละก้าวได้อย่างไร
‘เจ้าหนูนี่ยิ่งลึกลับเกินคาดเดาแล้ว’
แววแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งแวบผ่านดวงตาคู่ใสของเสี่ยวเคอ ตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด หลินสวินยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น
ยามนี้เขาได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า บุคลิกราวกับภูผามหาสมุทร อกใจซ่อนตะวันจันทรา แม้เป็นคนใหญ่คนโตบางคนที่กุมอำนาจในนครต้องห้าม หากพูดถึงความน่าเกรงขาม น่ากลัวว่ายังแพ้หลินสวินสามส่วน!
‘ดูตื้นลึกหนาบางไม่ออกเลยสักนิด…’
ภายใต้สีหน้าที่เงียบขรึมพูดน้อยของจูเหล่าซาน ความจริงกลับสั่นไหวไม่น้อย หลินสวินในตอนแรกยังต้องให้เขาคุ้มครองดูแลอยู่เลย
แต่ตอนนี้แม้แต่เขายังไม่สามารถมองความสามารถที่แท้จริงของหลินสวินออก นี่แสดงให้เห็นว่าพลังที่หลินสวินมีในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเหนือกว่าเขาไปแล้ว!
ในใจหลินไหวหย่วนตึงเครียดมาโดยตลอด เกร็งแข็งไปทั้งตัว
เมื่อครึ่งปีที่แล้วตอนเผชิญหน้ากับหลินสวิน เขายังไม่มีความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ แต่ตอนนี้หลินสวินเพียงนั่งอย่างสบายๆ กลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนผู้น้อยกำลังเผชิญหน้ากับผู้สูงส่งที่ครอบครองจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น!
ไม่เพียงแค่หลินไหวหย่วน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสระดับกระบวนแปรจุติอย่างพวกหลินซีซี หลินอวิ๋นเหิงและหลินเป่ยกวง ตอนนี้ต่างดูระมัดระวังอย่างมาก
พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายฆ่าฟันที่น่าพรั่นพรึงอย่างที่สุดจากตัวหลินสวิน ทำให้พวกเขาต่างหวาดผวา
นี่ทำให้ในใจของพวกเขาสั่นไหวและมึนงงไม่น้อย
ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปี ความสามารถของเจ้าหนูนี่น่าสะพรึงขึ้นอีกแล้ว!
เพียงแค่พลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับทำให้คนแก่อย่างพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและอึดอัด นี่ดูน่าทึ่งเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินไม่ได้จงใจสำแดงพลังของตน นี่เป็นบุคลิกอย่างหนึ่งที่หล่อหลอมออกมาจากประสบการณ์เข่นฆ่าในสมรภูมิกระหายเลือด
เขาในตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ผมยาวดำขลับทิ้งดิ่งลง ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับหุบเหว ใบหน้าหล่อเหลาดูสุภาพและเรียบเฉย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ มีกลิ่นอายโดดเด่นไม่แปดเปื้อนมลทิน
ทว่าขอเพียงรับรู้อย่างละเอียด ก็จะพบได้ไม่ยากว่า พลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาสมบูรณ์ไหลเวียน กลิ่นอายฆ่าสังหารอันไร้รูปพลุ่งพล่าน ทำให้เขามีความน่าเกรงขามและสะท้านวิญญาณเพิ่มเข้ามา
“ข้ากลับมาคราวนี้ อีกไม่นานก็จะมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ประการแรกเพื่อแก้แค้นให้กับเครือญาติตระกูลหลินสายตรงที่ถูกทำร้าย อีกประการคือเพื่อแสวงหามรรคาของข้า”
ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนิ่งสงบ หลินสวินเปิดปากด้วยเสียงที่เรียบเฉยและชัดเจน ก้องอยู่ในห้องโถงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หัวใจทุกคนต่างสะท้าน นี่คือการตัดสินใจที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน!
“ก่อนไป ข้าหวังว่าจะสามารถเลือกคนในตระกูลที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถ ครอบครองอำนาจตระกูลหลินแทนข้า เรื่องนี้ให้ท่านพญาแร้งและลุงจงรับผิดชอบ หากทุกท่านที่นั่งอยู่มีความเห็นอะไรต่อการตัดสินใจนี้ก็พูดออกมาได้”
หลินสวินพูดถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดมองทุกคนในห้องโถงนิ่งๆ
สิ้นเสียงไปตั้งนาน ภายในห้องโถงยังคงเงียบเชียบ ไม่มีใครแสดงท่าทีต่อต้านใดๆ สักนิด
เห็นเช่นนี้หลินสวินจึงตัดสิน “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
……
“หากพูดถึงอิทธิพล ตอนนี้ตระกูลหลินของพวกเราไม่แพ้ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางแล้วงั้นหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์