ไป่เฟิงหลิวมีฐานะเป็นสายสืบเผ่าวาทวาโยที่มากประสบการณ์คนหนึ่ง เพียงครู่เดียวเขาก็รับรู้ได้ว่าที่นี่เคยเกิดศึกนองเลือดสะท้านโลกาขึ้น!
“หึ เจ้าหนูแม้เจ้าไม่ต้องการแพร่งพรายข่าวออกไป แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนหัด สนามรบตรงหน้านี้ก็มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับเจ้าให้ข้าขุดได้!”
ไป่เฟิงหลิวเผยรอยยิ้ม เมื่อคิดว่าตนจะขุดคุ้ยข่าวที่สามารถทำให้ผู้คนในใต้หล้าใจสั่นระรัวข่าวหนึ่ง ในใจเขาก็อดเต้นระส่ำไม่ได้ รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจอย่างควบคุมไม่อยู่
สวบ!
เขาไม่รีรอแล้ว เงร่างวูบไหว เริ่มสืบเสาะในสนามรบอย่างรอบคอบ
ไป่เฟิงหลิวในเวลานี้ดูตั้งใจจดจ่อ ไม่วอกแวกเลยสักนิด ถึงกับมีกลิ่นอายศรัทธาแรงกล้า
แต่ละวิชาชีพมีศาสตร์เฉพาะต่างกันไป ผู้ฝึกปราณอื่นอาจเชี่ยวชาญการศึก การหลอมอาวุธ การหลอมยา การเลี้ยงสัตว์ การปลูกพืชวิญญาณ…
ทว่าสำหรับพวกเขาเผ่าวาทวาโยแล้ว การเสาะหาและเผยแพร่ข่าวสารเป็นความสามารถที่พวกเขามีมาแต่กำเนิด!
ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็พบร่องรอยการต่อสู้ครั้งนี้มากมาย เพียงแต่ยิ่งเขาพบร่องรอยมากขึ้น เขากลับไม่อาจสงบใจให้เยือกเย็นได้แล้ว
“สวรรค์! มีกลิ่นอายแตกต่างกันของราชันกึ่งระดับห้าแบบ นี่ไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือหรอกหรือ”
“สนามรบครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ภูเขาถล่มทลาย ผืนดินถูกตีแตก แน่ใจได้ว่าศึกนี้ต้องดุเดือดถึงที่สุด และยืดเยื้อไปช่วงเวลาหนึ่ง… บ้าเอ๊ย! ราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือยังฆ่าเจ้าหนูนี่ไม่ตายหรือ นี่มันเย้ยฟ้าเลยนะ!”
“เอ๊ะ เศษสมบัติมรรคราชัน! ทวนยาวสีเลือดหักสะบั้น ม้วนภาพที่ถูกฉีกขาด ซากค้อนยักษ์ที่แหลกละเอียด… พวกมัน… ถึงกับถูกทำลายจนสิ้นเลยหรือ”
“ไม่สิๆ ในสนามรบพบเศษซากศพที่หลงเหลืออยู่หลังราชันกึ่งระดับสี่คนสิ้นชีพไป นี่น่าจะพิสูจน์ได้ว่ายังมีราชันกึ่งระดับอีกคนหนึ่งหนีไปแล้ว…”
ท่ามกลางรัตติกาล ตาแก่ผอมแห้งราวไม้ไผ่ผู้หนึ่งกระโดดไปมาในบริเวณนั้นเหมือนหนูนา ปากก็ร้องโวยวายดังบ้างค่อยบ้างปนเปกันไป ดูประหลาดและน่าขัน
เพียงแต่ตัวไป่เฟิงหลิวเองกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าเวลานี้สีหน้าเขาผันแปรไม่ว่างเว้น ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจจนแทบจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่อยู่
ครู่ใหญ่เขายืนนิ่งแล้วพ่นลมหายใจยาว พูดพึมพำอย่างเหม่อลอยอยู่บ้างว่า “ถ้าข้าแพร่ข่าวศึกนี้ออกไป ต้องถูกหาว่าเสียสติแล้วแน่ๆ… ให้ตายสิ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เวลานี้ไป่เฟิงหลิวถึงค่อยๆ สงบใจขึ้นมาบ้าง เขาตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่เขาก็ต้องเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป!
นี่คือความเป็นมืออาชีพในฐานะของลูกหลานเผ่าวาทวาโยคนหนึ่ง
“แต่จะเผยแพร่ข่าวนี้อย่างไรดีถึงจะยิ่งน่าเชื่อถือล่ะ”
ไป่เฟิงหลิวตกอยู่ในภวังค์ความคิด สุดท้ายเขาก็กัดฟันแล้วนำใบไม้อัศจรรย์สีทองเจิดจ้าราวใบลานใบหนึ่งออกมา
นี่คือใบไม้ของต้นข่าวสารสีทอง ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งปริมาณก็น้อยนิด แม้แต่ในเผ่าวาทวาโยก็มีคนในเผ่าส่วนน้อยเท่านั้นที่ครอบครองได้
และในสถานการณ์ทั่วไป ต้องพบเรื่องใหญ่โตครึกโครมถึงที่สุดเท่านั้นถึงสามารถเลือกใช้ใบไม้ของต้นข่าวสารสีทองมาจารึกข่าวได้
“ให้ตายสิ! ข้าจนตรอกแล้ว จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็คราวนี้ล่ะ ยามข่าวนี้สะเทือนเลือนลั่นแดนฐิติประจิม ข้าก็สามารถไปขอใบไม้ของต้นข่าวสารสีทองจากเผ่าเพิ่มได้อย่างชอบธรรม!”
ไป่เฟิงหลิวกัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด
ต่อมาเขาก็เริ่มสำแดงวิชาลับ ใบไม้สีทองส่องแสงเจิดจ้าฉายจอภาพออกมา แล้วเริ่มจารึกร่องรอยและรายละเอียดในสนามรบแห่งนี้
สำหรับไป่เฟิงหลิวแล้ว ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวที่ตนเผยแพร่ออกไปไม่ได้แต่งขึ้น จึงจะทำให้ทุกคนในโลกเชื่อเรื่องศึกนองเลือดสะท้านโลกอันเหลือเชื่อนี้ได้!
เมื่อทำทุกอย่างนี้จนเสร็จสิ้น เขาเพียงรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตั้งหน้าตั้งตาคอยยิ่งนัก
เขาคาดการณ์ได้ว่าเมื่อตนกระจายข่าวนี้ออกไป ในแดนฐิติประจิมต้องเกิดความครึกโครมใหญ่ราวภูผาถล่มทะเลหวีดร้องแน่!
เด็กหนุ่มเทพมารระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง กลับประจันหน้ากับราชันกึ่งระดับจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬห้าคนโดยลำพังได้ ท้ายที่สุดด้วยมาดผยองเย้ยฟ้า ยังปลิดชีพไปสี่คน หลบหนีไปหนึ่งคน!
นี่ กวาดตามองไปยังผู้กล้าแห่งยุคในรุ่นเยาว์ทั่วทั้งแดนฐิติประจิม ใครจะทำได้กัน
หืม?
จู่ๆ ไป่เฟิงหลิวที่ตกอยู่ในห้วงความคิดบ้าคลั่งก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว สัญญาณอันตรายถึงที่สุดผุดขึ้นในใจ ทำให้เขาขนลุกเกรียว
ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีชายชราสวมอาภรณ์สีดำสองคนก้าวเดินผ่านห้วงอากาศจากที่ไกลลิบ
ราชันระดับสังสารวัฏ!
เหงื่อกาฬผุดพรายทั่วร่างไป่เฟิงหลิว ในใจประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวด เขาขึ้นเหนือล่องใต้หลายปีมานี้ สายตาคู่นี้ขัดเกลาจนร้ายกาจหาใดเทียบมานานแล้ว มองปราดเดียวก็ดูออกว่าสองคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าราชันที่มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
ซวยแล้ว…
เมื่อไป่เฟิงหลิวคิดขึ้นได้ ว่าข่าวที่ตนจะเผยแพร่ออกไปเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดผลแง่ลบอย่างยิ่งยวดต่อเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ เขาก็มีความรู้สึกว่าตนเสียท่าเข้าแล้ว
“หึ! แมลงหวี่สมควรตายพวกนี้อีกแล้ว ช่างแทรกซึมเก่งเสียจริง ที่ไหนๆ ก็มีร่องรอยของพวกมัน”
เหนือห้วงอากาศ โก่วหยางทงส่งเสียงหึหยันดุจอสนีบาต สะท้านขวัญจนไป่เฟิงหลิวสั่นเทาไปทั้งตัว ทรุดลงกับพื้น
เพียงแต่ในตอนที่เขานึกว่าตนจะเสียท่า กลับได้ยินเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“ช่วยข้าอย่างหนึ่งแล้วจะไว้ชีวิตเจ้า” เป็นเสียงที่โก่วหยางป๋อเปล่งออกมา
ไป่เฟิงหลิวผงะไป พยักหน้าไม่ว่างเว้น “ขอผู้อาวุโสสั่งมา”
“กระจายข่าวหนึ่ง บอกว่าคนที่กล้าติฉินนินทาเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทุกคนต้องชดใช้ความผิดด้วยชีวิต”
เมื่อพูดจบโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงก็ทะยานอากาศจากไปด้วยกัน ชั่วพริบตาก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
เฮือก!
ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจลึกเยียบเย็น หน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนนี้จะร่วมกันสังหารเทพมารหลินหรอกหรือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์