Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 835

สรุปบท ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอน ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา
แวดวงผู้ฝึกปราณปัจจุบัน ถึงแม้อยู่ท่ามกลางระดับกระบวนแปรจุติ ก็มีเพียงพวกล้ำเลิศชั้นยอดที่แท้จริงจึงสามารถผสานรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้!

เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ จิตวิญญาณผู้ฝึกปราณยิ่งสามารถปลดเปลื้องออก ท่องมหาสมุทรอุดรยามสายัณห์พยับคราม อิสระเสรีภายใต้นภาครามประดุจเทพเซียนแห่งแดนดิน!

สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ มีเพียงบรรลุถึงระดับกึ่งราชันจึงจะสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต

แน่นอนว่าผู้ฝึกปราณอีกมากทำได้แค่หยุดลงตรงนี้ตลอดชีวิต

นี่คือหลุมวิถีหนึ่ง ก้าวผ่านพ้นก็สามารถล่องทะยานในฟ้าดิน หากก้าวไม่พ้น มรรคาชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่หยุดลงตรงนี้

ทว่าหลินสวินต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต ครอบครองช่องทางจิตวิญญาณ ท่องตระเวนทั่วผืนฟ้าปฐพี!

นี่เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าโดยมิต้องสงสัย หากกระจายออกไปคงถูกมองเป็นปีศาจ สร้างความอึกทึกครึกโครมยกใหญ่

หลินสวินเวลานี้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนอย่างเปี่ยมล้น ไม่เกี่ยวกับพลังปราณ แต่เป็นการแปรสภาพใหม่ทั้งหมดของจิตวิญญาณ

พลังจิตรับรู้แปรสภาพดุจมีแสงแห่งปัญญา เพียงเกิดความคิด สรรพสิ่งล้วนบังเกิดติดตาม เพียงดับความคิด ก็ว่างเปล่าไร้ตัวตน!

กล่าวสรุปโดยง่าย ข้อดีข้อใหญ่ของการบรรลุถึงจุดนี้คือ แม้กายหยาบดับสลาย พลังจิตจะคงอยู่ตราบนิรันดร์!

“ยินดีด้วย เจ้าทะลวงด่านที่หกแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ผ่านแล้ว”

ขณะที่หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณหลังแปรสภาพ ริมหูก็มีเสียงใสเย็นดั่งวารีเสียงนั้น

เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าตรงปลายทางของทางเดินเมฆาหยกมีเงาร่างเลือนรางพร่ามัวหนึ่งยืนอยู่ นัยน์ตาคู่หนึ่งกำลังมองตนจากที่ห่างไกล

หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ก่อนตนจะทะลวงด่าน หญิงสาวปริศนาผู้นี้บอกว่าจะออกไปดูสักหน่อย ครู่หนึ่งก็จะกลับมา

แต่ทว่าคาดไม่ถึง หลังจากนางหวนคืนก็ไม่เคยหายไป แต่ปรากฏอยู่ตรงนั้นโดยไม่กลัวว่าจะถูกตนมองเห็น

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

“นี่คือรางวัลของด่านที่หก”

หญิงสาวดีดนิ้ว แสงเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งอุบัติขึ้น วาบกะพริบปรากฏเบื้องหน้าหลินสวินทันใด

พริบตานั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ภายในกลุ่มแสงนั่นประทับมรดกวิชาลับสองส่วน แบ่งเป็นส่วนครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’!

แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อนรับมรดกวิชา เพราะเขาพบว่าเงาร่างทรงสง่าปริศนานั่นยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้จากไป

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส” หลินสวินแสดงความขอบคุณ

หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างพร่างแสงศักดิ์สิทธิ์เลือนราง ดั่งฝันเสมือนมายา ให้ความรู้สึกไม่เป็นความจริง ประดุจครู่ต่อมาจะสำเร็จเป็นเซียนและจากไป

นางเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าว “บัดนี้ระยะห่างระหว่างเจ้ากับประตูสวรรค์เหลือเพียงสามด่าน แบ่งออกเป็นด่านที่เจ็ด ‘ผลาญขอบเขต’ ด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ด่านที่เก้า ‘มองตน’ ข้าหวังว่าครั้งต่อไปที่ทะลวงด่าน จะสามารถมาถึงบริเวณที่ข้ายืนได้ในคราเดียว”

น้ำเสียงเย็นใสสะท้อนกลางฟ้าดินซึ่งราวว่างเปล่าผืนนี้

ในใจหลินสวินสะท้าน นี่ไม่ใช่สื่อว่าให้ตนทะลวงสามด่านติดกันในคราเดียว แล้วไปยืนที่ปลายทางทางเดินเมฆาหยกอย่างนั้นหรือ

ปลายทางเดินคือบริเวณที่บานประตูสวรรค์นั่นตั้งอยู่ หรือก็คือบริเวณที่หญิงสาวผู้นั่นยืนอยู่จนถึงปัจจุบัน!

หลินสวินตระหนักได้ว่าในนี้ต้องมีสาเหตุอะไรแน่ ถึงได้ทำให้หญิงสาวปริศนานั่นเตรียมการเช่นนี้

“เรียนถามผู้อาวุโส ตอนนั้นข้าต้องมีปราณระดับใดจึงจะสามารถมาทะลวงด่านอีกครั้ง” หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวถาม

“หลอมมรรคบรรลุราชัน ก้าวสู่มกุฎ!”

หญิงสาวหันหลัง เงาร่างเลือนรางทรงสง่าจางหายไปในบานประตูปริศนาสูงเทียมฟ้านั่นทีละน้อย

“ภายในสามปี มหาสงครามจักมาเยือน หากเจ้าสามารถคว้าโอกาส บางที… อาจเปิดประตูบานนี้ได้”

น้ำเสียงเย็นใสบางเบา แต่พาให้หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด

“มรรคาแห่งมกุฎระดับราชัน…”

นานพอควรหลินสวินถึงได้พึมพำแผ่วเบา ดวงตาเขามองไปยังปลายทางทางเดินเมฆาหยก

ตรงนั้นบานประตูสวรรค์ปิดสนิทตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น เสมือนชั่วกาลนิรันดร์ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ

ภายในประตูบานนั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่

จะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่

ในใจหลินสวินเกิดความมุ่งหวังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เขาสัมผัสได้ว่า อาจมีเพียงต้องให้ตนไปถึงปลายทางทางเดินเมฆาหยกนั่นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติไปเข้าใจและรับรู้ถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกขั้น

และบางทีก็อาจจะได้รู้ว่าหญิงสาวปริศนาผู้นั้นคือใครกันแน่!

“จำไว้ ก่อนที่เจ้ายังไม่กลายเป็นมกุฎราชัน ข้ายื่นมือเพื่อเจ้าได้แค่สามครา ก่อนหน้านี้เจ้าใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลังจากสามครั้งยังช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้… ก็ถือว่าข้าดูคนผิด”

ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นกระจ่างนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลินสวินซึ่งเดิมกำลังคิดจากไปพลันตื่นตะลึง

โอกาสยื่นมือช่วยเหลือสามครั้ง!

สำหรับหลินสวิน นี่ราวกับเป็นรางวัลที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากทะลวงผ่านด่านที่หกยังสามารถรับรางวัลเช่นนี้

แต่เมื่อได้ยินประโยคว่า ‘ใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง’ หลินสวินพลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน

เขาไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือมาก่อนนะ!

ทว่าไม่รอหลินสวินซักถาม เบื้องหน้าเขาคล้ายมืดทะมึน ฟ้าพลิกดินหมุนโดนพลัน ถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว

ในถ้ำอันแห้งแล้ง สีหน้าหลินสวินวูบไหว ต่อให้ตีกะโหลกแตกเขาก็คิดไม่ออกว่าตนขอให้หญิงสาวปริศนาผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยตอนไหน…

นี่ไม่ใช่หมายความว่าตนเหลือโอกาสแค่สองครั้งหรือ

หลินสวินทอดถอนใจ ออกจะหดหู่อยู่บ้าง

นึกถึงตรงนี้ในใจหลินสวินพลันสะท้าน รีบสื่อสารกับกวางเขียว น่าเสียดาย ในความทรงจำของกวางเขียวไม่มีภาพจำเรื่องนี้

‘จริงสิ นางเคยบอกว่ายื่นมือช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง สันนิษฐานเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่’

‘อีกทั้งด้วยความสามารถของเจ้าหมาแก่สองตัวนั่น เกรงว่าเมื่อวานคงสามารถหาร่องรอยข้าพบ แต่จนถึงป่านนี้ดันไม่ปรากฏตัว ดูท่าคงประสบเคราะห์แล้ว!’

หลินสวินใคร่ครวญ ทำการวิเคราะห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปออกมา

‘มิน่าล่ะนางถึงบอกว่าช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่นางแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่ ถึงสามารถสังหารเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงได้’

ในใจหลินสวินไม่อาจสงบอยู่บ้าง

‘ไม่ว่าอย่างไรสำหรับตอนนี้ สถานการณ์ของข้าเปลี่ยนเป็นปลอดภัยแล้ว ถึงเวลาหาสถานที่สงบเงียบทะลวงระดับปราณแล้ว…’

กวางเขียวบรรทุกหลินสวินพลางก้าวย่างอย่างมั่นคง ก้าวผ่านพื้นหินผาค่อยๆ ห่าออกไปเรื่อยๆ

ผ่านไปเจ็ดวัน

ในป่าเก่าแก่กลางหุบเขาผืนหนึ่งพลันมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งหาใดเปรียบแผ่พุ่ง ลอยทะยานเหนือห้วงฟ้า

ชั่วพริบตาฟ้าดินสั่นสะเทือน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมฆาเคราะห์โหมซัดสาดมาจากทั่วสารทิศ มืดฟ้ามัวดิน ดำสนิทราวน้ำหมึก แผ่กลิ่นอายอึดอัดหาใดเปรียบราวกับวันสิ้นโลกจวนมาเยือน

ครืน!

เสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังก้องขึ้น เสมือนกลองยักษ์โบราณกาลไหวระรัว ถาโถมกระหน่ำเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินดังครืนครัน สายฟ้าเจิดจ้าพลุ่งพล่าน ไหลหลั่งบ้าคลั่งราวน้ำตก อุดมด้วยไอสังหารมลายล้างสรรพสิ่ง

สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภูเขานี้ส่งเสียงร้องโหยหวนหวาดผวา วิ่งคลั่งกระเจิดกระเจิง ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไป เห็นชัดว่ามีเคราะห์สวรรค์สะเทือนใต้หล้ามาเยือน!

ส่วนอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังบางส่วนกลับเกร็งไปทั้งตัว ทอดมองจากที่ห่างไกล ขอแค่มีอันตรายเพียงนิดพวกเขาก็จะหลบลี้หนีหายในพริบตา

ครืน!

บนเวิ้งฟ้า อสนีเคราะห์ปั่นป่วน เปลี่ยนจากสีเจิดจ้าดุจเงินยวงเป็นสีแดงเลือดทีละน้อย หยาดย้อมห้วงอากาศ ประดุจโลหิตแห่งเทพกำลังลุกโหม!

สายฟ้าสีเลือดแดงสดแหวกผ่าอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายชวนประหวั่นเพียงพอทำให้สรรพชีวิตบนโลกหล้าสะท้านสะเทือน ปั่นป่วนห้วงนภากาศให้แหลกละเอียด

น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!

ชั่วขณะเดียวอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังเหล่านั้นล้วนตระหนก รู้สึกถึงความหวาดกลัวหาใดเปรียบ ขวัญหนีดีฝ่อ ที่แท้เป็นอริยเทพจากที่ใดกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่ ทำไมถึงชักนำอสนีเคราะห์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้

ฟุ่บ!

ระหว่างที่พวกเขาพากันคาดคะเน เงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมา ทั่วร่างส่องสว่าง เงาร่างสูงสง่าเปี่ยมกลิ่นอายไร้เทียมทานผงาดผยอง มุ่งตรงไปยังเมฆาเคราะห์เหนือชั้นฟ้า

เฮือก!

ห่างออกไปไกล อสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทั้งหมดล้วนสูดหายใจหนาวเยือก ขนพองสยองเกล้า เจ้าหมอนี่เป็นใคร วิปริตเกินไปแล้วกระมัง นี่หมายจะเข้าไปรับเคราะห์สวรรค์ไร้เทียมทานด้วยตนเองหรือ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์