เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ จิตวิญญาณผู้ฝึกปราณยิ่งสามารถปลดเปลื้องออก ท่องมหาสมุทรอุดรยามสายัณห์พยับคราม อิสระเสรีภายใต้นภาครามประดุจเทพเซียนแห่งแดนดิน!
สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ มีเพียงบรรลุถึงระดับกึ่งราชันจึงจะสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต
แน่นอนว่าผู้ฝึกปราณอีกมากทำได้แค่หยุดลงตรงนี้ตลอดชีวิต
นี่คือหลุมวิถีหนึ่ง ก้าวผ่านพ้นก็สามารถล่องทะยานในฟ้าดิน หากก้าวไม่พ้น มรรคาชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่หยุดลงตรงนี้
ทว่าหลินสวินต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต ครอบครองช่องทางจิตวิญญาณ ท่องตระเวนทั่วผืนฟ้าปฐพี!
นี่เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าโดยมิต้องสงสัย หากกระจายออกไปคงถูกมองเป็นปีศาจ สร้างความอึกทึกครึกโครมยกใหญ่
หลินสวินเวลานี้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนอย่างเปี่ยมล้น ไม่เกี่ยวกับพลังปราณ แต่เป็นการแปรสภาพใหม่ทั้งหมดของจิตวิญญาณ
พลังจิตรับรู้แปรสภาพดุจมีแสงแห่งปัญญา เพียงเกิดความคิด สรรพสิ่งล้วนบังเกิดติดตาม เพียงดับความคิด ก็ว่างเปล่าไร้ตัวตน!
กล่าวสรุปโดยง่าย ข้อดีข้อใหญ่ของการบรรลุถึงจุดนี้คือ แม้กายหยาบดับสลาย พลังจิตจะคงอยู่ตราบนิรันดร์!
“ยินดีด้วย เจ้าทะลวงด่านที่หกแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ผ่านแล้ว”
ขณะที่หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณหลังแปรสภาพ ริมหูก็มีเสียงใสเย็นดั่งวารีเสียงนั้น
เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าตรงปลายทางของทางเดินเมฆาหยกมีเงาร่างเลือนรางพร่ามัวหนึ่งยืนอยู่ นัยน์ตาคู่หนึ่งกำลังมองตนจากที่ห่างไกล
หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ก่อนตนจะทะลวงด่าน หญิงสาวปริศนาผู้นี้บอกว่าจะออกไปดูสักหน่อย ครู่หนึ่งก็จะกลับมา
แต่ทว่าคาดไม่ถึง หลังจากนางหวนคืนก็ไม่เคยหายไป แต่ปรากฏอยู่ตรงนั้นโดยไม่กลัวว่าจะถูกตนมองเห็น
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นี่คือรางวัลของด่านที่หก”
หญิงสาวดีดนิ้ว แสงเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งอุบัติขึ้น วาบกะพริบปรากฏเบื้องหน้าหลินสวินทันใด
พริบตานั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ภายในกลุ่มแสงนั่นประทับมรดกวิชาลับสองส่วน แบ่งเป็นส่วนครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’!
แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อนรับมรดกวิชา เพราะเขาพบว่าเงาร่างทรงสง่าปริศนานั่นยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้จากไป
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส” หลินสวินแสดงความขอบคุณ
หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างพร่างแสงศักดิ์สิทธิ์เลือนราง ดั่งฝันเสมือนมายา ให้ความรู้สึกไม่เป็นความจริง ประดุจครู่ต่อมาจะสำเร็จเป็นเซียนและจากไป
นางเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าว “บัดนี้ระยะห่างระหว่างเจ้ากับประตูสวรรค์เหลือเพียงสามด่าน แบ่งออกเป็นด่านที่เจ็ด ‘ผลาญขอบเขต’ ด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ด่านที่เก้า ‘มองตน’ ข้าหวังว่าครั้งต่อไปที่ทะลวงด่าน จะสามารถมาถึงบริเวณที่ข้ายืนได้ในคราเดียว”
น้ำเสียงเย็นใสสะท้อนกลางฟ้าดินซึ่งราวว่างเปล่าผืนนี้
ในใจหลินสวินสะท้าน นี่ไม่ใช่สื่อว่าให้ตนทะลวงสามด่านติดกันในคราเดียว แล้วไปยืนที่ปลายทางทางเดินเมฆาหยกอย่างนั้นหรือ
ปลายทางเดินคือบริเวณที่บานประตูสวรรค์นั่นตั้งอยู่ หรือก็คือบริเวณที่หญิงสาวผู้นั่นยืนอยู่จนถึงปัจจุบัน!
หลินสวินตระหนักได้ว่าในนี้ต้องมีสาเหตุอะไรแน่ ถึงได้ทำให้หญิงสาวปริศนานั่นเตรียมการเช่นนี้
“เรียนถามผู้อาวุโส ตอนนั้นข้าต้องมีปราณระดับใดจึงจะสามารถมาทะลวงด่านอีกครั้ง” หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวถาม
“หลอมมรรคบรรลุราชัน ก้าวสู่มกุฎ!”
หญิงสาวหันหลัง เงาร่างเลือนรางทรงสง่าจางหายไปในบานประตูปริศนาสูงเทียมฟ้านั่นทีละน้อย
“ภายในสามปี มหาสงครามจักมาเยือน หากเจ้าสามารถคว้าโอกาส บางที… อาจเปิดประตูบานนี้ได้”
น้ำเสียงเย็นใสบางเบา แต่พาให้หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด
“มรรคาแห่งมกุฎระดับราชัน…”
นานพอควรหลินสวินถึงได้พึมพำแผ่วเบา ดวงตาเขามองไปยังปลายทางทางเดินเมฆาหยก
ตรงนั้นบานประตูสวรรค์ปิดสนิทตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น เสมือนชั่วกาลนิรันดร์ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ
ภายในประตูบานนั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่
จะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่
ในใจหลินสวินเกิดความมุ่งหวังอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เขาสัมผัสได้ว่า อาจมีเพียงต้องให้ตนไปถึงปลายทางทางเดินเมฆาหยกนั่นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติไปเข้าใจและรับรู้ถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกขั้น
และบางทีก็อาจจะได้รู้ว่าหญิงสาวปริศนาผู้นั้นคือใครกันแน่!
“จำไว้ ก่อนที่เจ้ายังไม่กลายเป็นมกุฎราชัน ข้ายื่นมือเพื่อเจ้าได้แค่สามครา ก่อนหน้านี้เจ้าใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลังจากสามครั้งยังช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้… ก็ถือว่าข้าดูคนผิด”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นกระจ่างนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลินสวินซึ่งเดิมกำลังคิดจากไปพลันตื่นตะลึง
โอกาสยื่นมือช่วยเหลือสามครั้ง!
สำหรับหลินสวิน นี่ราวกับเป็นรางวัลที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากทะลวงผ่านด่านที่หกยังสามารถรับรางวัลเช่นนี้
แต่เมื่อได้ยินประโยคว่า ‘ใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง’ หลินสวินพลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน
เขาไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือมาก่อนนะ!
ทว่าไม่รอหลินสวินซักถาม เบื้องหน้าเขาคล้ายมืดทะมึน ฟ้าพลิกดินหมุนโดนพลัน ถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว
ในถ้ำอันแห้งแล้ง สีหน้าหลินสวินวูบไหว ต่อให้ตีกะโหลกแตกเขาก็คิดไม่ออกว่าตนขอให้หญิงสาวปริศนาผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยตอนไหน…
นี่ไม่ใช่หมายความว่าตนเหลือโอกาสแค่สองครั้งหรือ
หลินสวินทอดถอนใจ ออกจะหดหู่อยู่บ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์