ก็คือการกระทำของไป่เฟิงหลิวในยามนี้นั่นเอง
หลินสวินยังอดอึ้งงันไม่ได้ เมื่อครู่เขาถึงขั้นกดเจ้าเฒ่าคนนี้แล้วซัดหมัดใส่ไม่ยั้งไปหนึ่งยก คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวเจ้าหมอนี่ล้วนไม่ถือสาเลยสักนิด ตรงข้ามกลับเป็นฝ่ายประชิดเข้าใกล้
ความสามารถในการสร้างเสริมกำลังใจและวิธีการหน้าด้านไร้ยางอายอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ตินี้ พาให้หลินสวินยังบังเกิดความนับถือสุดกำลัง
“เจ้ายังไม่ถอดใจ?” หลินสวินถาม
ไป่เฟิงหลิวโบกมือเป็นพัลวัน กล่าวว่า “คุณชายหลินท่านอย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ข้าเอาศักดิ์ศรีเป็นประกัน จะไม่แพร่งพรายข่าวที่ท่านปรากฏตัวในเมืองผาดาราออกไปอย่างแน่นอน”
ศักดิ์ศรี?
หลินสวินลอบปรามาส เฒ่าสากกะเบืออย่างเจ้ายังกล้าพูดถึงศักดิ์ศรี?
ไป่เฟิงหลิวหน้าหนายิ่งนัก หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “อันที่จริง ขอแค่มั่นใจว่าท่านมาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคก็พอแล้ว อย่างไรเสียมหกรรมรวมตัวผู้กล้าเยื้อแย่งถกมรรคระดับนี้ จากความสง่างามไร้เทียมทานที่ท่านมีอยู่ทั้งหมด แทบไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ช้าเร็วย่อมมีคนรู้อยู่ดี!”
“พูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย หากไม่ใช่เพราะเจ้า มีหรือข้าจะต้องเผชิญกับหายนะซี้ซั้วเช่นนี้” หลินสวินกล่าวไปก็นึกอยากตีคนไปด้วย
กลับเห็นไป่เฟิงหลิวกล่าวปลงตก “คุณชายหลิน นี่ก็คือการแก่งแย่งแห่งมหาสงคราม คิดอยากโดดเด่นเหนือเหล่าผู้กล้ารุ่นใหม่ มีหรือจะไม่ต้องเผชิญกับคำครหาและการปลุกปั่น บุคคลไร้เทียมทานที่มาถึงระดับนี้เฉกเช่นท่าน แม้ไม่อยากหาเรื่อง เหล่าผู้กล้าคนอื่นๆ ก็ต้องมองท่านเป็นคู่ต่อสู้ เมื่อสบโอกาสก็คงเหยียบท่านไว้ใต้เท้า ใช้สิ่งนี้แลกมาซึ่งชื่อเสียงและความเด่นดังอยู่วันยังค่ำ!”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กลับรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย คำพูดนี้ของไป่เฟิงหลิวไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้สักเท่าไร
ภายใต้ฉากหลังที่มหาสงครามกำลังใกล้เข้ามาเช่นนี้ ผู้กล้ารุ่นใหม่จากทุกเผ่าพันธุ์ต่างบ่มเพาะพลังสร้างความแข็งแกร่ง ปรารถนาจะหลอมมรรคกลายเป็นราชันบนเส้นทางมหามรรค เหยียบย่างบนมกุฎ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การแก่งแย่งและต่อต้าน เข่นฆ่าประจัญบาน ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ก็เปรียบดั่งกองทัพนับพันแย่งชิงข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว ผู้ใดสามารถฝ่าวงล้อมออกมา โดดเด่นเหนือปวงชนได้เป็นคนแรก ผู้นั้นก็สามารถคว้าศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปได้!
…
หอวสันตสารท
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองผาดารา ความสูงหลายร้อยจั้ง ทั่วตัวอาคารทำมาจากหยกเคลือบ ทอแสงแวววาวราวภาพมายาภายใต้แสงแดดที่อาบชโลม
หอวสันตสารทเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานในเมืองผาดาราแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าในสมัยบรรพกาลเคยมีอริยะผู้หนึ่งเยี่ยมกรายผ่านที่แห่งนี้ แหงนมองปรากฏการณ์ดารา ทำนายเหตุการณ์รุ่งเรืองเสื่อมถอยอยู่ภายในตัวอาคาร ก่อนจากไปได้ทิ้งอริยะวาจาที่สั่นสะเทือนชั่วนิรันดร์เอาไว้หนึ่งประโยค…
ชั่วดีเป็นตรา วสันตสารทตัดสิน!
เพียงแปดคำสั้นๆ กลับมีความยิ่งใหญ่โชติช่วงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าคนใต้หล้าจะวิจารณ์อย่างไร สุดท้ายประวัติศาสตร์นิรันดร์จะเป็นผู้ตัดสินข้า!
นี่ก็คือความสง่างามของอริยะ
ด้วยเหตุนี้หอวสันตสารทจึงขึ้นชื่อลือกระฉ่อนเพราะอริยะวาจาแปดคำนี้ กลายเป็นสถานที่เก่าแก่เลื่องชื่อ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าใดมาเยือน
เพียงแต่ทุกครั้งที่เทศกาลโคมกถามรรคใกล้เข้ามา หอวสันตสารทก็จะกลายเป็นดั่งสถานที่ต้องห้ามไม่ปาน
มีเพียงเหล่าผู้กล้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเท่านั้นจึงจะสามารถเหยียบย่างบนนั้นได้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าเฉียดใกล้
นี่เป็นกฎที่ไม่ได้บัญญัติไว้
ในกาลพ้นผ่านก็เคยมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากไม่ยอมรับ คิดว่าหอวสันตสารทเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่อริยบุคคลบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ ไม่ว่าใครต่างมีสิทธิ์เข้านอกออกในได้
แต่พวกเขาไม่ทันได้เฉียดใกล้ ก็ถูกเหล่าผู้กล้าบางส่วนสยบคาที่ ต้องถอยฉากอย่างโซซัดโซเซ เมื่อเวลาผันผ่านนานไป กฎข้อนี้ก็ปฏิบัติสืบต่อกันมา
ยังเหลือระยะทางห่างจากหอวสันตสารทอยู่พอสมควร ก็เห็นบนท้องถนนที่คึกคักกว้างขวางมีสัตว์ปีศาจเดินขวักไขว่ ปักษาเทพสยายปีก ดูน่าทึ่งหาใดเปรียบ แต่เวลานี้ต่างรับหน้าที่เป็นสัตว์พาหนะ บรรทุกผู้คนไว้บนหลัง
ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างพากันทยอยหลบฉาก ไม่กล้าขวางทาง
เพราะทุกคนรู้ดี ผู้ฝึกปราณที่สามารถบังคับสัตว์พาหนะน่าสะพรึงระดับนี้มาได้ แต่ละคนต้องมีที่มายิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่หาเรื่องเลย ยังต้องรักษาท่าทางยำเกรงเอาไว้อีกต่างหาก!
“ดูนั่น! เป็นสัตว์ราชันที่ทรงพลังยิ่ง นั่นคืออสูรกิเลนเพลิงเขียวในตำนานหรือ เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวพวยพุ่งทั่วทั้งตัว แสงเรืองคละคลุ้ง กลิ่นอายราวกับราชัน!”
บนท้องถนนมีเสียงร้องอุทานดังขึ้นไม่ขาด
“ตามตำนาน อสูรกิเลนเพลิงเขียวเป็นสัตว์ราชันผู้พิทักษ์สำนักโบราณอารมพรางมรกต มีพลานุภาพคับฟ้าเปรียบได้กับราชันกึ่งระดับ กล่าวเช่นนี้แล้ว ชายหญิงที่นั่งอยู่บนอสูรกิเลนเพลิงเขียวนั้นจะต้องเป็นเหล่าผู้กล้าในอารามพรางมรกตเป็นแน่!”
“ใช่แล้ว จะต้องเป็นมู่เจี้ยนถิงศิษย์สืบทอดแท้จริงคนแรกในยุคนี้ของอารามพรางมรกตมาถึงแล้วเป็นแน่! ก็มีแต่ผู้กล้าเช่นเขาเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติได้รับการคุ้มครองจากอสูรกิเลนเพลิงเขียว!”
ยามที่หลินสวินกับไป่เฟิงหลิวเดินมาจากไกลๆ บังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี ก็รู้สึกทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขบวนเดินทางของผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณพวกนี้แต่ละคนยิ่งใหญ่กว่าคนก่อนหน้า แม้แต่สัตว์พาหนะยังอยู่ในระดับราชันกึ่งระดับ
“หลายวันมานี้เหล่าคนมีชื่อเสียงมารวมตัวกันที่เมืองผาดารา และหอวสันตสารทยิ่งเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของผู้คนนับหมื่น ผู้กล้ามากมายที่มาจากแต่ละอาณาเขตในแดนฐิติประจิมต่างก็มารวมตัวกันที่นี่”
ไป่เฟิงหลิวอธิบายอยู่ข้างๆ “และด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกปราณจำนวนมากจึงถูกดึงดูดเข้ามา หมายจะได้ยลความสง่างามของผู้กล้าหลายๆ คนสักแวบ พาให้พื้นที่ละแวกใกล้เคียงหอวสันตสารทกลายเป็นจุดที่มีผู้คนนิยมชมชอบมากที่สุดในบัดดล”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ยามเอ่ยวาจา หลินสวินฉุดไป่เฟิงหลิวเดินเข้าใกล้ริมถนนด้วย
เวลานี้เองระลอกคลื่นน่าสะพรึงแผ่กระจายในห้วงอากาศวูบหนึ่ง ปักษาเทพที่สูงหลายสิบจั้ง เรือนร่างประหนึ่งหลอมด้วยทองคำอำมฤต ขนปีกสีสด อานุภาพศักดิ์สิทธิ์หาที่เปรียบไม่ได้โฉบบินผ่าน
ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งหลบไม่ทันถูกหอบม้วนลอยออกไป เซถลาทุลักทุเลทันที
“นกจาบกาฬทอง! นี่เป็นถึงปักษาเทพที่มีสายเลือดราชันเทพบรรพกาล กลิ่นอายทรงอานุภาพ ดูแล้วน่าอยู่ห่างจากระดับราชันเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์