นางกลับงามพิสุทธิ์ ประดุจเซียนผ่องโศภิตโดดเด่น ภายใต้รัศมีของนาง บรรดาชายหญิงละแวกใกล้เคียงต่างหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้นางก้าวเท้าแผ่วเบาเดินมาทางหลินสวินราวกับเทพธิดามาเยือนโลก กลีบปากแดงเอิบอิ่มเจือรอยยิ้ม ดวงตาใสกระจ่างพราวระยับคู่นั้นฉายแววแปลกประหลาด
ไป่เฟิงหลิวนิ่งงัน งงเป็นไก่ตาแตกเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังยุหลินสวินไปเกี้ยวเด็กสาวคนนี้อยู่ ไหนเลยจะคิดว่าพริบตาเดียว อีกฝ่ายถึงกับเป็นฝ่ายมาหาถึงที่!
“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” เสียงของไป๋หลิงซีเจือความดีใจ เป็นความดีใจและความประหลาดใจที่ได้พบคนรู้จักในต่างแดน
“เจ้า… จำข้าได้?” หลินสวินประหลาดใจ ได้พบเพื่อนเก่า ในใจของเขาก็เบิกบานเช่นกัน
“เจ้าอย่าลืมสิ ข้ากำเนิดมาพร้อมกับพรสวรรค์จิตวิญญาณ ‘ดารานิรันดร์’ คนที่ถูกข้าจดจำ ต่อให้กลายเป็นเถ้าธุลีข้าก็จำได้ทั้งนั้น” ไป่หลิงซีแย้มรอยยิ้ม ดวงตาสุกใสมองอย่างเป็นมิตร ผมงามดั่งน้ำตก อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว มีความงามโดดเด่นเหนือโลกีย์
หลินสวินตะลึงทันที มองไปยังเด็กสาวเบื้องหน้าที่เติบโตเป็นสาวงามเต็มตัว ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานา
ปีนั้นตอนอยู่ค่ายกระหายเลือด ทุกคนเพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปี ไป๋หลิงซีก็เผยความสง่างามเหนือพิภพตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ผู้คนมากมายต่างเชื่อว่านางจะต้องเป็นผู้กล้าหญิงคนหนึ่งของจักรวรรดิในอนาคต จะเจิดจ้าปานอาทิตย์ดวงใหญ่บนเวิ้งฟ้า และเป็นที่จับจ้องของคนทั่วโลกอย่างแน่นอน
และยามนี้ผ่านไปหลายปี อีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณแล้ว ซ้ำยังเจริญวัยงดงามขึ้นเรื่อยๆ ท่วงท่าสง่างาม ดรุณีสะท้านโลก
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แสงแดดอุ่นๆ ปกคลุมร่างอรชรของไป๋หลิงซีจนกลายเป็นชั้นแสงเรืองพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ดวงหน้าสวยกระจ่างนวลเนียนยังคงสงบนิ่งเหมือนที่ผ่านมา ประดุจเซียนสาวตำหนักพระจันทร์
ไป๋หลิงซีมองสำรวจหลินสวินจากหัวจรดเท้า จากกันนานปี ยามนี้พบกันอีกครั้งทำให้นางรู้สึกสะท้านไหวในใจอยู่มากเช่นกัน
“เจ้าก็มาร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วย? จริงสิ ลำพังแค่พรสวรรค์และรากฐานที่เจ้ามีอยู่ในปีนั้น การมาเข้าร่วมเทศกาลโคมหนนี้ก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” นางกล่าวพลางยิ้มบางๆ
“เจ้าล่ะ ไม่ใช่ว่ามาร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วยหรือ” หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน
ไม่เหมือนมุมมองความรู้สึกที่มีต่อเซี่ยอวี้ถัง หลินสวินและไป๋หลิงซีมีมิตรภาพแบบ ‘เพื่อนร่วมชั้น’ ต่อกัน หนำซ้ำตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังนับว่าไม่เลวทีเดียว
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชายหญิงพวกนั้นที่มาพร้อมกับไป๋หลิงซีล้วนเดินเข้ามากันหมด ต่างพากันมองสำรวจหลินสวินด้วยความประหลาดใจ
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางธรรมดา กลิ่นอายเรียบง่ายไม่ได้สะดุดตาแต่อย่างใดของอีกฝ่าย พวกเขาต่างเก็บสายตาที่มองสำรวจ รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
“ศิษย์น้องหลิงซี คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีคนรู้จักในแดนฐิติประจิมด้วย ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ชื่อเรียงเสียงไร พอจะแนะนำพวกเราได้หรือไม่”
หญิงสาวสวมชุดคลุมกระเรียนสีเพลิง รูปร่างทรงเสน่ห์คนหนึ่งเอ่ยถามพลางหัวเราะน้อยๆ คำพูดเจือการประชดประชันที่เหมือนมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง
“นั่นสิศิษย์น้องหลิงซี เจ้าเป็นถึงดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในแดนพิสุทธิ์อมตะของพวกเรา แม้แต่ศิษย์พี่อวี่หลิงคงก็ยังชื่นชมเจ้า คิดดูแล้วเพื่อนของเจ้าก็คงไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”
ชายหญิงคนอื่นๆ ก็พลอยเอ่ยปากด้วย เพียงแต่ท่าทางของพวกเขาเจือแววสัพยอกล้อเลียน เห็นได้ชัดว่ากำลังโห่เย้ยและไม่ให้เกียรติเป็นอย่างยิ่ง
หัวคิ้วของหลินสวินขมวดมุ่นอย่างจับสังเกตได้ยาก
กลับเห็นดวงหน้างามกระจ่างของไป๋หลิงซีไม่ไหวติง กล่าวราบเรียบ “พวกท่านพูดไม่ผิด เพื่อนของข้าคนนี้ไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปจริงๆ รอให้เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น พวกท่านก็จะรู้จักเขาเอง แต่ว่าถึงตอนนั้นหวังว่าศิษย์พี่ทั้งหลายคงไม่ตื่นตระหนกตกใจยกใหญ่เป็นกระต่ายตื่นตูมเหมือนตอนนี้”
คำพูดนี้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบเฉยเมย นี่เป็นการตอบโต้ที่ไร้ร่องรอยอย่างไม่ต้องสงสัย
กระต่ายตื่นตูม?
สีหน้าของบรรดาชายหญิงเหล่านั้นผุดแววไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง หญิงสาวเสื้อคลุมกระเรียนสีเพลิงคนนั้นยิ่งส่งเสียงหัวเราะหยันออกมา ปรายตามองหลินสวิน สำรวจตรวจสอบอย่างไม่กลัวเกรง
ครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยพูดคล้ายกับสะดุ้งสุดตัว “ไม่ถูกนะ เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกว่าเพื่อนคนนี้ของศิษย์น้องหลิงซีน่าทึ่งเพียงใด คนเช่นนี้มีอยู่ทั่วไปตามท้องถนน บอกว่าหาตัวจับยากยังเป็นการยกยอเขาเลย หรือว่า… นี่คือเพื่อนที่ศิษย์น้องหลิงซีผูกมิตรด้วย?” คำพูดนี้ตรงไปตรงมายิ่ง ไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์หลินสวินซึ่งหน้า หนำซ้ำยังใช้โอกาสนี้ตีวัวกระทบคราด ลอบถากถางว่าไป๋หลิงซีไม่ระวังในการคบหาเพื่อน
ชายหญิงคนอื่นๆ ยิ้มเงียบๆ รอชมเรื่องสนุก
การถากถางและวิจารณ์โดยไม่ปกปิดแต่อย่างใดเช่นนี้ หลินสวินเคยเจอมานักต่อนักแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะจะถึงกับยกตนข่มท่านเช่นนี้ ไม่เห็นใครในสายตาด้วยเช่นกัน
เขาขมวดคิ้ว สัมผัสได้ว่ายามที่ไป๋หลิงซีฝึกปราณอยู่ในแดนพิสุทธิ์อมตะ เกรงว่าคงถูกเพื่อนร่วมสำนักกีดกันและเห็นเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน
กลับเห็นหมอกอึมครึมเสี้ยวหนึ่งฉายผ่านดวงหน้างดงามราวกับหยกของไป๋หลิงซี นางก้าวไปข้างหน้าเพียงลำพัง ดึงหลินสวินไปด้านข้างแล้วสื่อจิตกล่าว ‘เจ้าอย่าได้ใส่ใจ พวกเขาก็แค่อยากถือโอกาสนี้ถากถางและเย้ยหยันข้าก็เท่านั้น ยามนี้ข้าไม่ถือสาพวกเขา รอเมื่อมีโอกาส ข้าจะทำให้พวกเขานึกเสียใจที่ทำเช่นนี้’
เอ่ยถึงช่วงสุดท้ายเสียงของนางเจือแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง แสงเรืองรองพลุ่งพล่านในดวงตาใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่าลุแก่โทสะแล้ว
หลินสวินเอ่ยถาม ‘อยากให้ข้าช่วยหรือไม่’
ไป๋หลิงซียิ้มน้อยๆ น้ำเสียงเจือความมั่นใจที่ไม่เหมือนใคร ‘ก็แค่พวกเหลือเดนที่ยกตนข่มท่านกลุ่มหนึ่งเท่านั้น จัดการกับพวกเขา ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่ในสำนักพวกเขากีดกันเห็นข้าเป็นศัตรูก็ช่างเถิด ข้าก็คร้านจะถือสาเอาความพวกเขา แต่การกระทำของพวกเขายามนี้แตะขีดจำกัดของข้าแล้ว หากไม่เผยโฉมให้พวกเขาดูเสียหน่อย คงคิดว่าข้าไป๋หลิงซีกลัวพวกเขาจริงๆ’
หลินสวินยิ้มแล้ว เด็กสาวตรงหน้าคนนี้งดงามไร้ทัดเทียม แปลกแยกโดดเด่น และมั่นใจในตัวเองเหมือนที่ผ่านมา มีความหยิ่งทระนงของตนประการหนึ่ง
‘เพียงแต่ตอนนี้ต้องผิดต่อเจ้าแล้ว ทำให้เจ้าถูกคนสบประมาทแบบไร้สาเหตุ’ ไป๋หลิงซีค่อนข้างรู้สึกผิด
หลินสวินคลี่ยิ้ม ‘ข้าจะคิดเสียว่าหมาเห่าแล้วกัน’
‘เจ้ายังใจกล้าเต็มกำลังเหมือนปีนั้นไม่มีผิด’ ไป๋หลิงซีก็ยิ้มเช่นกัน มีความงามน่าอัศจรรย์ราวกับดอกไม้ตูมที่เบ่งบานหลังสายฝน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์