ถึงกับมีคนถูกไล่ออกจากหอวสันตสารท?
นี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน!
ชั่วขณะ ทุกสายตาต่างพากันมองเข้าไป
ก็เห็นคนผู้นั้นมีรูปลักษณ์หล่อเหลา เพียงแต่เวลานี้ผมเผ้ากระเซิง คราบเลือดเปื้อนมุมปาก ดูแล้วสะบักสะบอมเป็นที่สุด
“เอ๋ นั่นดูเหมือนเยวี่ยเจี้ยนหมิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทที่ชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นวิญญาณอัคนีนี่!”
“สวรรค์! นี่เป็นถึงผู้กล้าคนหนึ่งเชียว ไฉนจึงถูกคนซัดออกจากหอวสันตสารทเสียได้ นี่ต่อไปจะให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงเงยหน้าอ้าปากได้อย่างไรไหว”
ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
“เมืองผาดาราในปัจจุบันรวมพลผู้กล้าต่างเขตแคว้นในแดนฐิติประจิม กลายเป็นที่สนใจและจับตามองของคนทั่วหล้า บัดนี้กลับเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น คราวนี้เยวี่ยเจี้ยนหมิงอาจจะชื่อเสียงป่นปี้โดยสิ้นเชิงแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างพรั่นใจ
“เฮอะ! แคว้นวิญญาณอัคนี? ที่นั่นไม่มีแม้แต่สำนักที่เรียกได้ว่าเก่าแก่เลยสักแห่ง เยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้นับเป็นอะไรเล่า คู่ควรถูกเรียกว่าผู้กล้าด้วยหรือ น้ำหน้าอย่างเขาสมควรถูกไล่ออกจากหอวสันตสารทแล้ว!”
และมีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยหัวเราะเยาะ รู้สึกไม่เห็นด้วย
แต่เวลานี้นัยน์ตาหลินสวินไหววูบ เขาคิดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่าจะได้พบเยวี่ยเจี้ยนหมิงอีกครั้งภายใต้สถานการณ์พรรค์นี้
ภายใต้สายตาจับจ้องของฝูงชน กลับถูกซัดกระเด็นออกมาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนทำก็ออกจะเกินเหตุไปหน่อยแล้ว หมายจะหยามน้ำหน้าดูถูกเยวี่ยเจี้ยนหมิงชัดๆ!
“ถุย! เศษเดนอย่างเจ้าก็เพ้อพกคิดจะมีพื้นที่อยู่ในหอวสันตสารทด้วย? ช่างไม่ดูเงาหัวตัวเองจริงๆ รีบไสหัวไป!”
เวลานี้เงาร่างล่ำสันปานภูเขาปรากฏตัวภายในหอวสันตสารท แขนสองข้างกอดอก ผรุสวาทใส่เยวี่ยเจี้ยนหมิงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“เป็นผู้แข็งแกร่งจากเผ่าฉลามสมุทรแห่งทะเลมารพิฆาต!”
“ข้าจำได้เลาๆ เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายซาหลิวฉานบุตรเทพเผ่าฉลามสมุทร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ผู้ติดตามคนหนึ่งก็ยังกร้าวแกร่งและทรงพลังเช่นนี้ ไม่เห็นเยวี่ยเจี้ยนหมิงอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง”
“ฮ่าๆ ทะเลมารพิฆาตเดิมก็เป็นสถานที่รวมพลผู้แข็งแกร่งแห่งหนึ่งอยู่แล้ว หนำซ้ำเผ่าฉลามสมุทรยังเป็นขุมกำลังระดับผู้นำในนั้นอีกด้วย พวกเขาคงไม่สนใจเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ถือกำเนิดในแคว้นวิญญาณอัคนีคนนั้นหรอก”
ตัวตนของชายร่างยักษ์กำยำผู้นั้นถูกจำได้อย่างรวดเร็ว ในลานบังเกิดเสียงฮือฮาหนึ่งระลอก
เยวี่ยเจี้ยนหมิงตะกายขึ้นมาจากพื้น สีหน้าคล้ำเขียวหาใดเปรียบ จ้องชายร่างยักษ์กำยำคนนั้นไม่วางตา กล่าวว่า “ข้าเฝ้าถามตัวเองว่าแต่ไรมาก็ไม่เคยผูกพยาบาทกับเผ่าฉลามสมุทรของพวกเจ้า แต่เหตุใดถึงได้เพ่งเล็งและทำข้าอดสูถึงเพียงนี้”
ในใจเขาเปี่ยมด้วยความเดือดดาล กลับทำได้เพียงสะกดเอาไว้ แต่เขายังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
“เฮอะ ดูท่าเจ้ายังไม่ยอมแพ้”
ชายร่างยักษ์กำยำสาวเท้าก้าวออกมา ลำแสงแกร่งกร้าวพุ่งปราดจากนัยน์ตา จ้องเยวี่ยเจี้ยนหมิงอย่างดูถูกเหยียดหยามแล้วกล่าว “เจ้าพูดไม่ผิด เจ้าไม่เคยล่วงเกินพวกข้าจริงๆ เพียงแต่ ใครใช้ให้เจ้าอ้างตัวว่าเป็นสหายกับเทพมารหลินขี้หมาอะไรนั่น”
ทั่วลานตะลึงอึ้งค้าง คราวนี้ถึงได้ตระหนัก ที่แท้เยวี่ยเจี้ยนหมิงประสบเคราะห์โดยไร้ความผิด ก็เพราะถูกเทพมารหลินดึงมาเอี่ยวด้วย
โดยเฉพาะหลินสวิน นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที เขาเพิ่งรู้ในตอนนี้เช่นกัน ว่าที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงถูกคนซัดลอยออกมา ก็เพียงเพราะเคยบอกว่าเป็นสหายกับตน!
นี่เรียกว่าเหตุผลอะไรกัน
เพียงเพราะบอกว่าเป็นสหายของตนก็ต้องทนรับการโจมตีเช่นนี้เชียวหรือ
หลินสวินเข้าใจอย่างที่สุด เผ่าฉลามสมุทรทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหมายหัวตน ต้องการให้คนทั่วหล้าได้ประจักษ์กันถ้วนหน้า ว่าผู้ใดที่มีความเกี่ยวข้องกับตน จะถูกพวกเขากดข่มทั้งสิ้น!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะกล้ายุ่งกับตนอีก
“เพราะแบบนี้เองหรือ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงเกือบคิดว่าตนหูฝาด ยากจะเชื่อ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น่าดูหาที่เปรียบไม่ได้ อะไรที่เรียกว่ากำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่
ก็นี่อย่างไรเล่า!
เพื่อจัดการหลินสวิน ถึงขนาดใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ ข่มเหงรังแกกันเกินไปชัดๆ!
“ฮ่าๆ ดูท่าเจ้ายังไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าจะพูดอีกรอบ คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพมารหลินขี้หมานั่น ไม่ว่าหน้าไหนล้วนเป็นเป้าที่พวกเราเผ่าฉลามสมุทรต้องกำราบทั้งสิ้น!”
ชายร่างยักษ์กำยำกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ พลันนึกอะไรขึ้นมา แววตาเจือประกายดุกร้าว กวาดมองทั่วลานแล้วร้องตะโกนดังลั่น “เทพมารหลินเจ้ามาหรือยัง ช่างเป็นสวะชัดๆ เห็นสหายเจ้าถูกหยามเกียรติเช่นนี้ก็ตกใจจนไม่กล้าแสดงตัวแล้วเรอะ!”
ทั่วลานเงียบกริบ ไร้สรรพเสียง ทุกคนต่างตระหนักว่าที่เผ่าฉลามสมุทรทำเช่นนี้เห็นชัดว่ากำลังยั่วยุ ต้องการบีบให้เทพมารหลินเป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน!
“ผู้มาเจตนาไม่ดี ท่านอย่าหุนหันพลันแล่นเด็ดขาด เทศกาลโคมกถามรรคยังไม่ทันเริ่ม เวลานี้ไม่เหมาะจะก่อความขัดแย้งกับผู้อื่น” ไป่เฟิงหลิวรีบสื่อจิตเตือนสติหลินสวิน
เพียงแต่หลินสวินกลับทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน
ครั้งแรกที่รู้ว่าเขาถูกเหล่าผู้กล้าพวกนี้มองเป็นเป้าจู่โจม หมายเหยียบเขาก้าวสูงขึ้นไป ในใจเขาก็มีเพลิงโทสะอยู่บ้างแล้ว
เพียงแต่เขากลับไม่เคยเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ รับหน้าด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด คิดว่าหากมีคนกล้ากระโจนออกมายั่วยุตน เช่นนั้นตนย่อมไม่เกรงใจ
แต่ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าตนคิดผิด!
ยิ่งตนไม่สนใจ อีกฝ่ายก็ยิ่งลำพอง ได้คืบจะเอาศอก ทำให้ตนเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเห็นได้ชัด
กระทั่งหลินสวินสงสัยว่าการวางตัวเป็นคนประเภท ‘ผู้ใดไม่รุกรานข้า ข้าไม่รุกรานผู้นั้น’ ของตนกลับทำให้คนจำนวนมากมองว่าขี้ขลาดและถอยหนี!
เหมือนเช่นยามนี้ ผู้ติดตามข้างกายซาหลิวฉานคนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าไล่เยวี่ยเจี้ยนหมิงออกจากหอวสันตสารทภายใต้สายตาของฝูงชน หยามเกียรติเต็มกำลัง ใช้สิ่งนี้มาโจมตีและกระตุ้นตน คิดบีบตนให้ปรากฏตัว นี่…
จะวางโตเกินไปแล้ว!
สิ่งสำคัญที่สุดคือเยวี่ยเจี้ยนหมิงพบเจอความอัปยศอดสูขนาดนี้แค่เพราะบอกว่าเป็นสหายของตน นี่แตะโดนขีดความอดทนของหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!
วันหน้าหากมีศัตรูคนอื่นๆ ต้องการจัดการเขา ก็คงทำเลียนแบบเช่นนี้ ใช้สหายส่วนหนึ่งของเขามาข่มขู่ เช่นนั้นผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์