เจตกระบี่ทะลวงสวรรค์ พลานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร เปี่ยมด้วยไอดุดันบดขยี้ฟ้าดิน ตวัดตัดลงมาคราเดียวห้วงอากาศก็พังทลาย กลิ่นอายแผดเผาทำให้ผู้คนขวัญผวา
ชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อลงมือราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม แสงกระบี่เรืองรองในแววตา ต่อสู้อย่างไร้ความปราณี
อารมณ์ทั้งมวลก่อนหน้านี้ที่เผยออกมาจากกายของเขา ล้วนประหนึ่งไม่หลงเหลือแม้เพียงเสี้ยว
หลินสวินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่แม้ว่าในใจจะยังสับสนงุนงงอยู่มาก ทว่าเขาไม่มีเวลาพอไปคิดเรื่องเหล่านี้ และจู่โจมเต็มกำลัง
ชิ้ง!
ดาบหักพุ่งขวางกลางอากาศ ดุจม้วนออกมาจากธารดาราสีเงินเจิดจ้า ลากแสงศักดิ์สิทธิ์ยืดยาวอกมานับพันจั้ง
ทั้งสองเข้าปะทะกัน เสียงกึกก้องน่าประหวั่นระเบิดออก แสงศักดิ์สิทธิ์สาดกระเซ็นทั่วสารทิศ
หลินสวินสะเทือนไปทั้งตัว เลือดลมปั่นป่วน ในการโจมตีนี้เขาเกือบจะได้รับบาดเจ็บ!
“อีกครั้ง!”
เขาพลันกัดฟันกรอด นัยน์ตาดำก็สาดประกายเจตจำนงต่อสู้อันดุเดือด โคจรพลังทั้งหมดที่มีของวิชาอริยะยุทธ์ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบกายดังครั่นครืนราวสายฟ้า พลังไต่จนถึงระดับสุดยอดภายในชั่วพริบตาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
กระบวนเฉือนคว้าดารา!
ตูม! ทุกแห่งหนที่ดาบหักวาดผ่าน เสมือนดวงดาราร่วงหล่นดวงแล้วดวงเล่า ราตรีนิรันดร์เคลื่อนคล้อยลงมา กลิ่นอายแห่งทำลายล้างอันเงียบสงัดแผ่สยายออกไป
ฉัวะ!
ชายหนุ่มยืนตระหง่านบนห้วงอากาศราวกับเซียนกระบี่แห่งยุค ทำมุทรากวาดเพียงครั้ง เจตกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็ปะทุออกมา ดูผิวเผินเหมือนธรรมดา ทว่าอันที่จริงพลานุภาพน่าหวาดผวาถึงขีดสุด
เพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งสองได้ประมือกันนับร้อยครั้งแล้ว!
‘เจ้านี่เป็นเพียงแค่ประทับเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ซ้ำพลังที่ใช้ก็แค่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสุดยอด ทว่ากลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าซาหลิวฉานไปกว่าครึ่ง วิปริตเกินไปแล้ว’
ในใจของหลินสวินสั่นไหวไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างมองว่าเขาเป็นเทพมาร คิดว่าพลังของเขาเย้ยฟ้าและวิปริต ทว่ายามนี้หลินสวินกลับรู้สึกว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นต่างหากถึงจะวิปริตของจริง
เพียงแค่ประทับเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ายามที่เขาอยู่ระดับกระบวนแปรจุติ จะครอบครองพลังต่อสู้สะเทือนฟ้ามากเท่าไรกัน
ฮูม!
ทันใดนั้นหญิงสาวชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสีที่อยู่ไกลๆ ก็ขยับตัวเช่นกัน เงาร่างพลิ้วไหวดุจสายรุ้ง ในมือขาวผ่องโบกสะบัดแส้อ่อนเส้นหนึ่ง กวัดแกว่งเพียงแผ่วเบา ห้วงอากาศทุกอณูก็ระเบิดออกราวกับเศษกระดาษก็ไม่ปาน
ตูม!
ฟ้าดินผืนนี้สั่นสะเทือน ยามนี้ ‘ผู้ฝึกปราณ’ คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ขยับตัว เริ่มสำแดงวิชาอัศจรรย์ ไม่ก็เรียกของวิเศษออกมา ล้อมจู่โจมจากทั่วสารทิศ
ภาพนั้นดูคล้ายกับว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติร่วมมือกันจู่โจมออกมา สะเทือนฟ้าสะท้านดิน น่าหวาดหวั่นเหนือจินตนาการ
หากอยู่โลกภายนอก จะต้องเกิดความตื่นตระหนกโกลาหลเป็นแน่แท้
ทว่าในเขตขีดจำกัดนี้ ไม่อาจดึงดูความตระหนกของผู้ใดได้
ทว่าในเขตขีดจำกัดนี้ ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ขณะที่บททดสอบถกมรรคด่านที่สองยังไม่สิ้นสุด หลินสวินซึ่งถึงจุดหมายเป็นคนแรก จะต้องพบเจอความท้าทายที่เข้มงวดถึงเพียงนี้
…
“อีกนานเท่าไร”
“อีกหนึ่งเค่อ”
ณ โลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือผู้ฝึกปราณที่มาจากทุกแห่งหน ล้วนแต่รอคอยด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“มหามรรคไร้ขอบเขต…” อวี่หลิงคงก็เห็นแผ่นป้ายหินและอักษรโบราณบนนั้นเช่นเดียวกัน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจอย่างชัดแจ้ง พลันหันหลังย้อนกลับไปเส้นทางเดิม
ฮูม!
ทันใดนั้น ‘ผู้ฝึกปราณ’ ปรากฏกายขึ้นคนแล้วคนเล่า กลิ่นอายของทุกคนต่างก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เท่าตัว
เป็นดังคาด!
‘ยังดีที่บททดสอบยังไม่ประกาศผลแพ้ชนะ ข้ายังมีโอกาส’
ในแววตาของอวี่หลิงคงสาดแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงออกมา เจตจำนงต่อสู้ฟื้นคืนอีกครั้ง บุกทะลวงเข้าไปโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด เปิดฉากต่อสู้เป็นพัลวัน
เพียงแต่สิ่งที่พบเจอนั้นแตกต่างกับหลินสวินโดยสิ้นเชิง ‘ผู้ฝึกปราณ’ ที่เขาต้องเจอเหล่านี้กลับไม่มีสติปัญญา แม้ว่าศักยภาพแข็งแกร่งมากขึ้น ทว่ากลับดูไม่เหมือนมีชีวิต
ขณะเดียวกันในเขตขีดจำกัดอีกแห่ง สิ่งที่จี้ซิงเหยาต้องพบเจอก็เหมือนกับอวี่หลิงคง
“ไม่ว่าอวี่หลิงคงจะถึงจุดหมายเป็นคนแรก หรือผู้อื่นถึงเป็นคนแรก ขณะที่ผลการทดสอบยังไม่ปรากฏออกมา ก็มีโอกาสพลิกผันได้!”
แววตากระจ่างใสของจี้ซิงเหยาเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางถูกขนานนามให้เป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม ตัวนางย่อมมีความเย่อหยิ่งและทะนงตนสูง แน่นอนว่าในเทศกาลโคมกถามรรคนี้ย่อมไม่อาจยอมให้ผู้อื่นอยู่เหนือกว่าตน
ไม่เพียงแค่อวี่หลิงคงและจี้ซิงเหยา ยามบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ ทยอยไปถึงจุดหมาย และค้นพบความเร้นลับบนป้ายหินแผ่นนั้น แต่ละคนก็ได้ย้อนกลับไปสู่การต่อสู้กันอีกครั้ง
ในฐานะบุคคลผู้กล้าแห่งยุค ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยอมรั้งท้าย
ในขั้นตอนนี้มีเหล่าผู้กล้าหลายคนที่แม้แต่จุดหมายก็ยังไม่อาจไปถึงได้ ต้องถูกคัดออกจากการทดสอบกลางคัน
และเช่นเดียวกัน ก็มีผู้กล้าบุคคลแห่งยุคบางส่วนที่หลังจากไปถึงจุดหมายแล้วกลับเข้าใจเพียงผิวเผิน และทึกทักว่าตนผ่านการทดสอบด่านที่สองโดยลุล่วงแล้ว ไม่ได้ใคร่ครวญแม้แต่น้อยว่าบททดสอบครั้งนี้ยังแฝงความเร้นลับอีกอย่างไว้
นี่ก็คือการแข่งขันแห่งมหามรรค
บางทีผู้ที่ตีความเพียงผิวเผินหรือประมาทเลินเล่อไปนิด ก็อาจจะตกลงสู่ห้วงลึกอันไร้รูปลักษณ์!
การแข่งขันชนิดนี้ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เมื่อก้าวสู่หนทางแห่งมหามรรคแล้วก็ต้องพบเจออยู่เสมอ โดยเฉพาะสำหรับเหล่าผู้กล้าหนุ่มสาวแล้ว การแข่งขันที่มีอยู่ทุกที่และไร้รูปเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เหี้ยมโหดและดุดันอย่างที่สุด
…
พรูด!
ในห้วงอากาศหลินสวินถูกกดดันอีกครั้ง สะท้านจนร่างโซเซถอยหลัง กระอักเลือดออกมาจากปาก รู้สึกว่าร่างกายคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
การถูกจู่โจมด้วยคู่ต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็นระดับกระบวนแปรจุติขั้นสุดยอดนับสิบคน อันตรายที่ได้เผชิญทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจจินตนาการได้เลย
น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว คู่ต่อสู้ทุกคนล้วนแต่ครอบครองวิชามรรคที่สะเทือนเลือนลั่น ฝีมือต่อสู้ก็เหนือกว่าคนทั่วไป หากอยู่โลกภายนอกก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคแล้ว
และยามนี้ พวกเขาต่างล้อมโจมตีพร้อมกัน ทำให้หลินสวินตกอยู่สถานการณ์ล่อแหลมทันใด เสี่ยงจะถูกสยบกดดันจนถูกคัดออกไปตอนไหนก็ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์