‘ไอ้ระยำหน้าด้านนี่ ในที่สุดก็ถูกบีบจำนนสักที ดูซิว่าคราวนี้เขาจะจบอย่างไร’ ในใจจี้ซิงเหยาปรากฏความรู้สึกมีสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสี้ยวหนึ่ง
ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง ต่อให้ดูหมิ่นและรังเกียจสันดานไร้ยางอายต่ำช้าของหลินสวินอย่างมาก แต่นางก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าหลินสวินมีคุณสมบัติเพียงพอลำพองในหมู่คนรุ่นเยาว์
แต่จนบัดนี้เขากลับไม่จุดโคมวิญญาณสักดวง นี่มันผิดปกตินัก
‘เอื้อมสูงไม่ถึงก้มต่ำไม่เป็น มัวแต่อวดดีไม่รับความจริง เจ้าหมอนี่ดูไปแล้วก็เท่านั้น’ อวี่หลิงคงเยาะหยันภายในใจ
จิตวิญญาณคือสิ่งสำคัญของการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน กระทั่งเป็นลางบอกพลังแฝงของการกลายเป็นราชันในภายภาคหน้า
จากมุมมองอวี่หลิงคง แม้ก่อนหน้านี้พลังต่อสู้หลินสวินเย้ยฟ้าเพียงใด แต่หากจิตวิญญาณบกพร่อง ภายหลังต่อให้สามารถก้าวสู่ระดับราชัน ความสำเร็จก็คงจำกัด!
สารพัดอุปสรรคย่อมมาเยือนต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ความสำเร็จตอนนี้อาจชวนตะลึงเหนือธรรมดา แต่สำหรับคนรุ่นเยาว์ สิ่งที่ต้องผจญไม่ใช่ปัจจุบัน แต่เป็นอนาคต!
มหาสงครามจวนมาเยือน วาสนานาและการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนใกล้ปรากฏ
ภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ หากจิตวิญญาณหลินสวินเกิดบกพร่อง เช่นนั้นอนาคตเขาต้องไม่อาจชิงชัยบนมหามรรคกับบุคคลแห่งยุคคนอื่นแน่
กระทั่งอาจดับมอดกลางหมู่ชนแต่เพียงเท่านี้!
นี่คือความเห็นของอวี่หลิงคง
นอกจากนี้พวกมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินเองต่างจับจ้องสถานการณ์ พวกเขาไร้พยาบาทกับหลินสวิน ก่อนหน้าก็ไม่มีส่วนข้องแวะอันใด ทว่าเมื่อเห็นเทพมารหลินที่แต่ก่อนชักนำคลื่นลมเหลือคณา บัดนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
เพียงแต่ไม่ช้า ไม่ว่าจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง หรือพวกมู่เจี้ยนถิงต่างสำรวมจิต ไม่สนใจติดตามอีก
พวกเขาล้วนจุดโคมวิญญาณแห่งตนแล้ว กำลังไตร่ตรองและหยั่งรู้พลังมรดกจิตวิญญาณซึ่งประทับอยู่ในโคมวิญญาณ นี่ก็คือวาสนาล้ำค่าหาใดเปรียบ
…
“เทพมารหลิน ยอมรับความจริงเถอะ อย่าได้ดึงดันอีกเลย ไม่ขายหน้าแย่หรือ” ซาหลิวฉานหัวเราะลั่น
เขาวางท่ามีสุขบนทุกข์คนอื่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสโจมตีหลินสวิน แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเกรงใจ
หลินสวินมุ่นคิ้ว เจ้าหมอนี่ช่างเอะอะมะเทิ่ง
เขาสังเกตโคมวิญญาณที่ซาหลิวฉานจุดสว่าง เต็มที่ได้แค่ขั้น ‘สว่างไสว’ ทั้งยังสู้ไป๋หลิงซีไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลินสวินไม่รู้จริงๆ ว่าใครมันให้ความกล้าเจ้าหมอนี่ ทำให้เขากล้ากระโดดโลดเต้นจนเกินงามเช่นนี้ ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะตน
นอกจากซาหลิวฉานแล้ว พวกจงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็ตั้งท่าซ้ำเติม แน่นอนว่าพวกเขาได้แค่ขยับปาก ไม่อาจก่ออันตรายอะไรต่อหลินสวิน
ซูม…
จู่ๆ กลางที่นั้นเกิดภาพชวนตะลึง พลังจิตวิญญาณสีม่วงสายหนึ่งวิวัฒน์เป็นกระถางมหึมา พุ่งทะยานมาถึงความสูงใกล้พลังจิตวิญญาณหลินสวิน
ต่อมาโคมวิญญาณดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นชั่วพริบตา จาก ‘แววระยับ’ ขั้นแรกเริ่มถึง ‘สว่างไสว’ จนมาถึง ‘สุริยันกลางนภา’ ในท้ายสุด กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นชั่วพริบตา!
ทุกคนตรงนั้นพลันสั่นสะท้านถูกดึงดูด
ใครกัน ถึงกับจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’ อีกดวง
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ไม่ช้าทุกคนก็มองเห็น ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้คือเด็กสาวชุดม่วงคนหนึ่ง ท่าทางนางโดดเด่นเหลือประมาณ หน้าผากขาวกระจ่างหมดจด พรั่งแสงแห่งสติปัญญา รูปร่างอ่อนช้อยงดงาม ทั่วร่างแผ่หมอกเมฆาม่วงศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่อง เห็นได้ว่าโดดเด่นและลึกลับ
ลั่วเจีย!
ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ!
นางลึกลับยิ่ง เริ่มแต่เข้าสู่เทศกาลโคมกถามรรคก็ทิ้งร่องรอยเลือนราง ไปมาคนเดียวดุจม่านหมอก
อีกทั้งในการทดสอบสามรอบแรก ฝีมือทั้งไม่โดดเด่นและไม่ดาษดื่น ซ้ำไม่ดึงดูดความสนใจเท่าไหร่นัก
แต่ตอนนี้นางกลับจุดโคมวิญญาณได้ดั่งดวงตะวัน สั่นสะเทือนผู้คนในคราเดียว!
“ที่แท้เป็นนาง…”
“ดูท่าแต่ก่อนพวกเราต่างละเลยผู้สืบทอดปริศนาแห่งตำหนักปรกอุดมคนนี้เสียแล้ว”
เหล่าผู้กล้าประหลาดใจ
ที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ เวลานี้จี้ซิงเหยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากแสดงความยินดีก่อน “แม่นางลั่วเจียสมเป็นหัวหน้าผู้สืบทอดในปัจจุบันของตำหนักปรกอุดม ครองจิตวิญญาณเช่นนี้ สามารถวาดหวังมหามรรคในภายหน้าได้”
“สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว” เสียงลั่วเจียใสกระจ่างดั่งวารี ผุดผ่องดุจกล้วยไม้กลางหุบเขาเหมือนกับตัวของนาง
ขณะเดียวกันอวี่หลิงคงก็เอ่ย “ลั่วเจียหรือ ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโส ‘หลิงเจวี๋ยคง’ ซึ่งปิดด่านมานานแปดพันปีที่ตำหนักปรกอุดม ปีก่อนปรากฏตัวออกมาเป็นกรณีพิเศษ รับศิษย์เบื้องท้ายคนหนึ่งนามลั่วเจีย หรือว่าจะเป็นแม่นางท่านนี้”
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่แดนพิสุทธิ์อมตะแห่งกาฬทักษิณท่านนี้ก็เคยได้ยินชื่อเสียงต่ำต้อยของข้า” ลั่วเจียกล่าวเสียงแผ่ว
“ฮ่าๆ ทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงคืออริยะที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานท่านหนึ่ง ปราณวิถีกระบี่ยอดเยี่ยมที่สุด ลุ่มลึกเกินคาดเดา แปดพันปีก่อนก็มีกิตติศัพท์ว่า ‘อริยะกระบี่ปรกอุดม’ ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า”
อวี่หลิงคงหัวเราะร่าอย่างเปิดเผย “บรรพชนตระกูลข้านับถือผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงอยู่เสมอ เรื่องที่แม่นางลั่วเจียถูกผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงรับเป็นศิษย์คนท้าย ข้าก็ฟังมาจากผู้อาวุโสในตระกูล”
เฮือก!
ผู้คนพลันส่งเสียงสูดหายใจสะท้าน
ใครต่างไม่คาดคิด ว่าผู้สืบทอดลึกลับของตำหนักปรกอุดมคนนี้ ถึงกับเป็นศิษย์เบื้องท้ายของอริยะกระบี่ผู้หนึ่ง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์