ส่วนยอดลำต้นโคมสำริดมรรคโบราณซึ่งกว้างราวสิบกว่าคนโอบ ดอกตูมสำริดกำลังแสดงฉากวิเศษอัศจรรย์
มันขนาดเพียงกำปั้น แต่สาดส่องแสงมรรคไร้สิ้นสุด เปล่งประกายดั่งโคมแห่งตะวัน สาดส่องจักรวาลภูผาธารา
เสียงธรรมเลือนรางสะท้อนก้องจากตรงกลาง ดุจระฆังอรุณกลองสายัณห์ สะเทือนโสตแม้คนหูหนวกยังได้ยิน
เมื่อดูโดยละเอียด ดอกตูมที่พร้อมผลิบานนั้นมีสี่สิบเก้ากลีบพอดี แต่ละกลีบล้วนปรากฏกลิ่นอายแตกต่าง เสมือนร่องรอยมหามรรคประทับอยู่บนนั้น มหัศจรรย์หาใดเปรียบ
“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง เสื่อมสูญมากล้นเพิ่มเสริมไม่พอ”
“ดอกไม้นี้ซ่อนจำนวนแห่งอุบัติฟ้า อาศัยลักษณ์แห่งโคมเผยร่องรอยมรรคอัศจรรย์ เหมือน ‘หนึ่ง’ รอดพ้นนั้นเริ่มก่อเกิดสรรพสิ่ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมหามรรค…”
“ศุภโชคที่ซ่อนแฝงในคำพูดนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!”
มีผู้แข็งแกร่งพึมพำ สีหน้าเปี่ยมความไหวสั่นและฮึกเหิม
บริเวณใกล้เคียง บุคคลแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ลั่วเจียและผู้แข็งแกร่งอื่นล้วนมาถึง เห็นปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาเช่นนี้กับตา จิตใจต่างไม่อาจนิ่งสงบ
ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่แหละคือศุภโชคอันดับหนึ่ง!
ในใจหลินสวินพลันตื่นตะลึง ดอกตูมสำริดหนึ่งเดียวนี้ปรากฏลักษณ์สะเทือนใต้หล้า วิเศษอัศจรรย์ผิดธรรมดาเหลือเกิน
เพียงแต่ หากศุภโชคซึ่งซ่อนอยู่ภายในคือสิ่งที่เหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลใช้เลือดหัวใจทั้งชีวิตเหลือทิ้งไว้จริง เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องปกติ
‘หลินสวิน เจ้าระวังตัวด้วย อวี่หลิงคงหมายมั่นสังหารเจ้าแล้ว เจ้าต้องระวังให้ดี!’ ทันใดนั้นข้างหูหลินสวินได้ยินเสียงสื่อจิตใสไพเราะหนึ่ง
หลินสวินสีหน้าคงเดิม แต่ตัดสินได้ในฉับพลันว่าเสียงนี้มาจากไป๋หลิงซี ขณะนี้นางกำลังยืนอยู่ข้างอวี่หลิงคง
ที่อยู่กับนางยังมีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะอีกสี่ห้าคน
หลินสวินยังจำได้แม่นว่าตอนเข้าร่วมบททดสอบถกมรรค มีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะราวสิบกว่าคนมาเข้าร่วม
แต่เห็นชัดว่าเกินครึ่งล้วนถูกคัดออกในระหว่างการทดสอบ เหลือแค่พวกไป๋หลิงซีและอวี่หลิงคงมาถึงที่แห่งนี้พร้อมกัน
‘ข้ารู้’ หลินสวินสื่อจิตตอบกลับ ไม่ได้รู้สึกเกินคาดหมาย ต่อให้อวี่หลิงคงไม่มาหาเขา เขาก็จะไปหาอวี่หลิงคงเอง!
‘เจ้าอย่าได้ประมาท ตัวอวี่หลิงคงก้าวสู่มกุฎมรรคา มรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดนานแล้ว อีกทั้งในมือเขายังถือครองสมบัติอริยะตำหนักอมตะ นี่เป็นสมบัติพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนพิสุทธิ์อมตะ มีพลังพิฆาตน่ากลัวอย่างที่สุด ข้าว่าเจ้า…’
ไป๋หลิงซีเหมือนวิตกกังวลยิ่ง กล่าวเตือนและเกลี้ยกล่อมหลินสวิน
หลินสวินฟังเงียบๆ ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น แม้กล่าวว่าเขามีศัตรูมากมาย แต่ก็มีสหายไม่น้อยเช่นกัน
ไป๋หลิงซีคือหนึ่งในนั้นโดยไม่ต้องสงสัย
‘หลิงซี รับปากข้าเรื่องหนึ่ง’ หลินสวินสื่อจิตกล่าว ‘หากข้าและอวี่หลิงคงเกิดปะทะกัน เจ้าอย่าได้เข้ามาขวาง’
ไป๋หลิงซีชะงักงัน เนตรดาราฉายแววสับสน แอบทอดถอนใจ ตระหนักได้ว่าการประลองนี้ยากเปลี่ยนแปลง
เพราะไม่ว่าอวี่หลิงคงหรือหลินสวิน จากนิสัยของพวกเขาคงไม่ยอมถอยสักก้าว!
…
สวบ!
ทันใดนั้นมีผู้แข็งแกร่งอดรนทนไม่ไหว ชิงออกเคลื่อนไหวก่อน หมายเข้าไปสืบค้นเสาะหา
แต่ยังไม่รอให้เข้าประชิดก็ถูกแสงมรรคสีม่วงสายหนึ่งกวาดลอยออกไป ร่วงคะมำนอกระยะสิบกว่าจั้งอย่างหนักหน่วง สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นเห็นดังนี้ในใจพลันสั่นสะท้าน ข่มความละโมบและวู่วามลง ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
บางคนหัวเราะเยาะ “ศุภโชคยังไม่เกิดขึ้นจริงก็หมายชิงลงมือก่อน อยากตายจนทนไม่ไหวจริงๆ นะ”
ตามเวลาที่ล่วงเลย ดอกตูมสำริดนั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ทำผู้คนไม่อาจมองโดยตรง อีกทั้งเสียงธรรมระลอกแล้วระลอกเล่ากึกก้องไร้ขีดจำกัด ประดุจเสียงเทพกรอกหู พาให้คนรู้สึกจิตวิญญาณสั่นสะท้าน
ซ่า…
ทันใดนั้นดอกตูมสำริดดอกนั้นพลันเบ่งบาน แสงมรรคมงคลนับหมื่นพันพวยพุ่งออกมาหลากสาย ทะลวงขึ้นห้วงนภา
ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันพร่ามัว ฟ้าดินกลายเป็นอีกทัศนียภาพกะทันหัน
ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้า กิ่งก้านเขียวชอุ่มพลิ้วไหว ใต้ต้นไม้โบราณกลับเป็นลานธรรมเก่าแก่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง
ฟ้าดินเปิดโล่ง เวิ้งฟ้าเมฆมงคลแผ่วพลิ้ว กลางห้วงอากาศไอขุ่นมัวตลบอบอวล มีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาที่พุ่งเข้ามา ราวกับมาถึงยุคบรรพกาล
ตรงกลางลานธรรม เงาร่างสิบกว่าร่างแยกกันนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง มีทั้งชายและหญิง ทั้งชราและเยาว์วัย รูปร่างลักษณะแม้แตกต่าง แต่ทุกคนล้วนอบอวลไออริยเทพ อานุภาพเทียมฟ้า มีความน่าเกรงขามพาให้สรรพสิ่งในฟ้าดินยำเกรง
พวกเขาคล้ายกำลังถกมรรค ทั่วลานธรรมเต็มไปด้วยเสียงต่างๆ บ้างฉะฉาน บ้างอ่อนโยน บ้างห้าวหาญ บ้างนุ่มนวล เมื่อได้ยินแล้วกลับเป็นเสน่ห์อีกแบบ ประดุจสัทครรลองมหามรรคกำลังสะท้อนก้อง มีพลังที่สัมผัสถึงส่วนลึกในจิตใจ
เพียงชั่วขณะทุกคนต่างนิ่งงันอยู่ตรงนั้น สีหน้ามึนงง
ภายในจิตพวกเขาราวมีเสียงธรรมหลากสายไหลบ่า คล้ายมาจากธรรมชาติอันห่างไกล พาให้สมองทุกคนปราศจากสิ่งใด กระจ่างว่างเปล่า นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นตามจิตใต้สำนึก
หลินสวินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาในเวลานี้ราวเด็กน้อยไม่รู้ประสาที่ได้ฟังมหามรรคเป็นครั้งแรก งงงวยเคลิบเคลิ้ม พิศวงมึนงง ไม่ทราบที่มา ไม่รู้จุดจบ แต่กลับตระหนักถึงพลังแห่งมรรคได้โดยธรรมชาติ คล้องตามสอดคล้องกับหมื่นมายาฟ้าดิน
ทั่วร่างเขาอบอวลไปด้วยเจตจำนงแห่งมรรคหลากสาย เรืองแสงแวววาว ว่างเปล่าไร้มลทิน พลังทั่วร่างขับเคลื่อนตามอารมณ์ ไหลเวียนหมุนวนไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางความเคลิ้มลอย เขาคล้ายเห็นว่ากลางลานธรรมมีมังกรฟ้าขดล้อม หงส์เพลิงสยายปีก บุปผากระจ่างมหามรรคโปรยปราย แสงสุวรรณหลากสายฉายสาดทุกแห่งหน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์