Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 936

สรุปบท ตอนที่ 936 หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 936 หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 936 หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 936 หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า
นี่คือใบข่าวสารทองคำใบหนึ่งซึ่งเป็นของกำนัลจากไป่เฟิงหลิว

ยามที่ได้ยินว่าหลินสวินมุ่งสู่แดนชัยบูรพาเพราะต้องการสืบข่าวเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ ในคราแรกไป่เฟิงหลิวรู้สึกตกใจยิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามมากความอะไร แต่ใช้เวลาหนึ่งวันวกกลับไปที่พำนักเผ่าวาทวาโย

เมื่อย้อนกลับไปก็ได้มอบใบข่าวสารทองคำใบนี้ให้หลินสวิน

ในนั้นบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋ซึ่งสายสืบเผ่าวาทวาโยบังเอิญพบเห็น แต่เพราะอิทธิพลของอวิ๋นชิ่งไป๋ในดินแดนรกร้างโบราณนั้นมีมากเกินไป จึงทำให้ข่าวนี้ถูกเบื้องสูงของเผ่าวาทวาโยปิดผนึกเอาไว้อย่างระมัดระวังก่อนที่จะเผยแพร่สู่ภายนอก

ครั้งนี้โชคดีที่ไป่เฟิงหลิวออกหน้า จึงขอใบข่าวสารทองคำใบนี้ออกมาได้ หาไม่ตราบใดที่อวิ๋นชิ่งไป๋ยังมีชีวิตอยู่ ข่าวที่บันทึกไว้ในนั้นเกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก

วู้ม!

พร้อมกับระลอกคลื่นประหลาด ใบข่าวสารทองคำแผ่ขยายออก ปลดปล่อยแสงแวววาวงดงามและกลายเป็นจอภาพม่านแสงสายหนึ่งในตอนท้าย

บนจอภาพ ชายหนุ่มชุดคลุมขาวคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ริมฝั่งทะเลเลือด อาภรณ์โบกสะบัด เรือนผมยาวปลิวไสวตามสายลม เผยให้เห็นดวงหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แยแสเป็นที่สุด

เขารูปร่างสูงโปร่ง ราวกับกระบี่กรีดนภา ดวงหน้าหล่อเหลาไร้เทียมทาน ยืนตามสบายอยู่ตรงนั้น ก็มีความองอาจผงาดเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ท่วงท่าสง่าไม่มีใครเทียบได้

ทะเลเลือดปั่นป่วน แปลกพิสดารและน่าสะพรึง เจียวหลงสีเลือดมหึมาตัวหนึ่งห้อทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงคำรามระลอกหนึ่ง พลิกเกลียวคลื่นสีเลือดนับพันนับหมื่น

ลำตัวของมันใหญ่หนาเท่าบ้าน ความยาวหลายพันจั้ง บนนั้นปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรสีเลือดแน่นขนัดเย็นเยียบ ดวงตาสีเลือดคู่นั้นราวกับทะเลสาบสะท้อนสรรพสิ่งบนโลกก็ไม่ปาน

โฮก!

มันแหงนหน้าร้องคำราม ลำตัวยึดครองห้วงอากาศ กลิ่นอายน่าหวาดกลัวยากจะพรรณนาวูบหนึ่งคละคลุ้งระหว่างฟ้าดิน พาให้ทะเลเลือดทั้งแถบพลุ่งพล่านร้องกระหึ่ม ห้วงอากาศพันลี้แหลกสลายชุ่นแล้วชุ่นเล่า ทรงพลังน่าหวาดกลัวเป็นที่สุด

เพียงแค่มองก็พาให้หลินสวินรู้สึกถึงกลิ่นอายบีบเค้นที่ประเดประดังเข้ามา

เจียวหลงสีเลือดที่เหยียบย่างระดับกึ่งราชันตัวหนึ่ง!

ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากในสายเลือดของมันบรรจุปราณมังกร ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ของมันกร้าวแกร่งและน่าสะพรึงยิ่งกว่าราชากึ่งระดับคนอื่นๆ เสียอีก!

ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวเริ่มขยับตัว เหยียบย่างบนห้วงอากาศมุ่งตรงไปข้างหน้า ทั่วสรรพางค์กายปลดปล่อยเจตกระบี่ดุกร้าวพุ่งนภา พร่าวพราวตาไร้ที่เปรียบราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่างจ้า

ตูม!

เจียวหลงสะบัดหาง สำแดงวิชาลับน่าสะพรึง สัญลักษณ์ลายมรรคสีเลือดพุ่งไปแผ่คลุมทางชายหนุ่มชุดคลุมขาวสายแล้วสายเล่า

เพียงแต่การโจมตีเหล่านี้ยังไม่เคยเฉียดใกล้ก็ระเบิดตูม สลายไปประหนึ่งพุ่งชนกำแพงไร้รูป ถึงกับไม่สามารถสร้างอันตรายใดๆ ได้เลยสักนิด

นัยน์ตาหลินสวินหดลง นี่คือแสนยานุภาพวิถีกระบี่ไร้รูป เพียงแต่มันกลับพิทักษ์รอบกายชายหนุ่มชุดคลุมขาวราวกับแก่นแท้ พาให้เขาประหนึ่ง ‘หมื่นวิชามิอาจรุกราน’!

เจียวหลงคล้ายจะดาลเดือด บนลำตัวสีเลือดเจิดจ้าเปล่งแสง ระลอกคลื่นวงหนึ่งที่ประดุจลายมรรคแผ่กว้างออกไปในห้วงอากาศ

ตูม!

ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ลายมรรคสีเลือดนั้นทั้งคลุมเครือและลึกลับ เต็มไปด้วยกลิ่นอายมหามรรคที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามังกร พาให้ฟ้าดินสั่นคลอน สรรพสิ่งแหลกลาญ น่าสะพรึงถึงที่สุด

จากการคาดเดาของหลินสวิน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาศัยตัวช่วยจากมหาอาวุธพิฆาตอย่างเจดีย์สมบัติไร้อักษร หรือคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร หากเขาคิดจะสลายการโจมตีหนนี้ คงต้องทุ่มแรงมหาศาลกว่าจะทำสำเร็จ

แต่สำหรับชายหนุ่มชุดคลุมขาวคนนั้น เขาทำเพียงวาดมือส่งๆ ปัดเจตกระบี่ที่เกือบจะเป็นดั่งภาพมายาสายหนึ่งออกไปก็ผลาญทำลายทุกสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย!

ชิ้ง!

จากนั้นนัยน์ตาชายหนุ่มชุดคลุมขาวมีสายรุ้งวิเศษเจิดจรัสคู่หนึ่งพุ่งออกมา สอดประสานหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกระบี่มรรคเล่มหนึ่ง

กระบี่ยาวสามฉื่อสามชุ่น กว้างสี่นิ้วมือ ตัวดาบปกคลุมด้วยลายสลักคลุมเครือแน่นขนัด ทันทีที่ปรากฏ ฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้วงอากาศอลหม่าน เจตกระบี่เทียมฟ้าที่ยากจะอธิบายวูบหนึ่งปรากฏขึ้นในใต้หล้า เสมือนว่าสามารถสร้างความสะเทือนให้อดีตจนมาถึงปัจจุบันได้!

ดวงตาหลินสวินปวดแปลบขึ้นมาหนึ่งระลอก มองไม่เห็นอะไรเลย

และพร้อมกันนั้น ม่านแสงสายนั้นพลันหายลับไป สิ้นสุดอย่างฉับพลัน ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้หนึ่งกระบี่เทียมฟ้าอันงดงามหาใดเปรียบนั้น เจียวหลงตัวนั้นจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่

ภายในห้องเงียบสงัด ในหัวหลินสวินกำลังนึกย้อนถึงกระบี่สายนั้น ยิ่งพยายามไตร่ตรองก็ยิ่งรู้สึกใจสั่น กลิ่นอายมหามรรคบนนั้นรุนแรงและไพศาลมากเกินไป ประหัตประหารจนถึงขีดสุด และน่าสะพรึงถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน

โดยไม่ทันรู้ตัว เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังของหลินสวินเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬ

อวิ๋นชิ่งไป๋!

ชายหนุ่มชุดคลุมขาวคนนั้น ก็คือบุคคลในตำนานที่ถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณในยุคนี้ เป็นบุคคลที่ได้รับฉายาว่าไร้ศัตรูในระดับต่ำกว่าระดับราชัน!

แต่สำหรับหลินสวินแล้ว คนผู้นี้มีแค่สถานะเดียว นั่นก็คือผู้ร้ายที่ล้างบางครอบครัวสายตรงตระกูลหลินของเขา

“ห้าปีก่อนเขาก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว…”

หลินสวินพึมพำ ในใจหนึกอึ้งอยู่บ้าง เมื่อได้เห็นการต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋กับตา ถึงจะเป็นเพียงฉากสั้นๆ แต่กลับทำให้หลินสวินตระหนึกได้ว่าศัตรูคนนี้น่ากลัวเพียงใด

นี่ขนาดแค่การต่อสู้ครั้งหนึ่งเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น สำหรับบุคคลแห่งยุคที่โดดเด่นที่สุดอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ ระยะเวลาห้าปีก็เพียงพอให้ความแข็งแกร่งของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่!

แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกคาดเดาไม่ถูก ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในวันนี้จะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้วกันแน่

“พลังของเขาบริสุทธิ์มาก รากฐานแข็งแกร่งเป็นที่สุด สำหรับการควบคุมพลังมหามรรคยิ่งถึงขั้นเหนือสุด หากต่อสู้กับเขายามนี้ ข้ามีสิทธิ์เอาชนะเขาเพียงแค่สองส่วนเท่านั้น แต่คิดจะฆ่าเขาให้ตาย ไม่มีสิทธิ์แม้แต่นิดเดียว”

ด้านข้าง ซย่าจื้อเอ่ยปากพูดเสียงเบา น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูราวกับดนตรีสวรรค์

แต่ครั้นนางเอ่ยคำนี้ออกมา กลับทำให้สีหน้าหลินสวินยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

การต่อสู้เมื่อครู่นี้ พลังปราณของอวิ๋นชิ่งไป๋เพิ่งอยู่แค่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับทำให้ซย่าจื้อยอมจำนนว่าฆ่าเขาไม่ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งน่าสะพรึงเพียงใด

อย่างน้อยที่สุดหากเขาไม่มีชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่ชิงจากตัวหลินสวิน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกิตติศัพท์อย่างทุกวันนี้เป็นอันขาด!

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งเดียวที่หลินสวินขาดไปในปัจจุบัน อาจจะเป็นเวลาเท่านั้น

“เจ้าแข็งแกร่งขึ้น มีหรือข้าจะไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าในสักวัน!”

เนิ่นนาน หลินสวินสูดหายใจลึกๆ จิตใจแน่วแน่ขึ้นทุกที ทั้งตัวมีท่วงทำนองพิสุทธิ์และหลุดพ้นดุจดั่งบังเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ปาน

……

ครึ่งเดือนให้หลัง

ในที่สุดยานสมบัติที่บรรทุกขบวนของหลินสวินก็บรรลุถึงที่หมาย

เมืองชลาสินธุ์ ตั้งอยู่ใกล้ตะวันออกสุดของแดนฐิติประจิม เชื่อมต่อกับแม่น้ำพรมแดน

เทียบกับอดีต พักนี้เมืองชลาสินธุ์เริ่มครึกครื้นผิดปกติ ผู้ฝึกปราณมากหน้าหลายตาจากทุกสารทิศต่างมารวมตัวกัน

สาเหตุนั้นง่ายดายมาก เพราะแม่น้ำพรมแดนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตระหนก กำลังจางหายไปอย่างช้าๆ เป็นไปได้สูงว่านี่คือสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการรวมสี่มหาวิภูเป็นหนึ่งเดียว!

เพื่อสำรวจต้นกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจครั้งนี้ ผู้ฝึกปราณจำนวนมากจากแดนฐิติประจิมล้วนถูกดึงดูดให้เข้ามา

ยิ่งกว่านั้นในระยะเวลาอันสั้น มีผู้ฝึกปราณมากมายที่มุ่งหน้ามาสำรวจแม่น้ำพรมแดนต่างก็ได้รับวาสนาส่วนหนึ่งไปไม่มากก็น้อย

มีของล้ำค่าประหลาดโบราณที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และก็มีวัตถุดิบวิญญาณที่แสนพิสารและหายาก ยิ่งไม่ขาดของโบราณแตกหักชำรุดส่วนหนึ่งที่มีอยู่เฉพาะยุคบรรพกาลเท่านั้น

วัตถุเหล่านี้ก็ถูกค้นพบเป็นครั้งคราวในอดีต แต่ไม่ได้พบถี่เหมือนเมื่อไม่นานมานี้

ยามเกลียวคลื่นถดถอย ก็เผยให้เห็นไข่มุกและเปลือกหอยที่เหลืออยู่บนชายหาด

เช่นเดียวกัน หากแม่น้ำพรมแดนค่อยๆ จางหายไปจริงๆ เช่นนั้นวาสนาและความเร้นลับบางส่วนซึ่งซุกซ่อนอยู่ในนั้น จะต้องปรากฏสู่โลกเป็นแน่!

ไม่ว่าอย่างไรสัญญาณทั้งหมดนี้บอกล่วงหน้าว่า ในแม่น้ำพรมแดนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกบางประการอุบัติขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ข่าวใหญ่! ผู้ฝึกปราณเผ่าเตียวม่วงประจุเงินคนหนึ่งเสี่ยงตายเข้าไปในซากปรักหักพังโบราณแห่งหนึ่งในแม่น้ำพรมแดน พบทวนศึกเปื้อนเลือดชำรุดเล่มหนึ่ง ถึงจะมีรอยด่างและผุผัง แต่คราบเลือดบนนั้นกลับคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายอริยบุคคลที่แท้จริงอยู่!”

“ไม่ผิดจากที่คาด ทวนศึกโบราณชำรุดเล่มนี้เคยดื่มเลือดอริยบุคคล!”

เมื่อขบวนของพวกหลินสวินเข้าสู่เมืองชลาสินธุ์ ก็บังเอิญได้ยินข่าวใหญ่ครึกโครมที่เพิ่งแพร่สะพัดกลับมาวันนี้พอดิบพอดี

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์