ผู้สืบสอดสำนักยุทธ์พันเวทที่เฝ้าอยู่แถวแม่น้ำพรมแดนสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งกลุ่มนี้ ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
“สองชั่วยามก่อน แม่นางคนนี้เข้ามาในแม่น้ำพรมแดนพร้อมกับนักผจญภัยกลุ่มหนึ่ง”
“เจ้ารู้จักนักผจญภัยพวกนั้นหรือไม่” ชายชราเคราขาวหน้าอมเลือดฝาดเอ่ยถามเสียงเย็น
พรึ่บ!
คนผู้นั้นรีบหยิบคันฉ่องทะลวงมายาออกมาทันใด แสงวิญญาณหมุนวนคุโชน เริ่มทำการพลิกหา เนิ่นนานในที่สุดก็พบภาพยามที่ขบวนของพวกหลินสวินเข้ารับการตรวจค้น
“เป็นพวกเขา”
สายตาดั่งสายฟ้าของชายชรากวาดสำรวจบนตัวพวกโค่วซิง หน้าเขียว จงอางแดง และหลินสวินทีละคน ท้ายที่สุดก็มองไปบนตัว ‘แม่นางเยวี่ย’ คนนั้น
“เป็นนาง!” กลุ่มผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ชายชราต่างเผยสีหน้าเจือไอสังหาร คล้ายอยากเคลื่อนไหวเต็มกำลัง
“ไป!”
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็พุ่งไปทางแม่น้ำพรมแดนราวกับลมกระโชก
“พวกเขาเป็นใคร น่ากลัวชะมัดยาด!”
“ดูท่าทางไม่คล้ายขุมอำนาจของแดนฐิติประจิมของพวกเราเลย…”
“จะวุ่นวายแล้ว แม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ จะต้องเกิดคลื่นลมมากมายขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบริเวณนั้นดังไม่หยุด กลุ่มผู้ฝึกปราณต่างหวั่นใจอยู่ไม่สุข
กลุ่มคนเมื่อครู่นั้นแต่ละคนราวกับเดินออกมาจากขุมนรก ไอสังหารคละคลุ้งรอบกาย น่าสะพรึงหาใดเปรียบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พวกเขามีราชันกึ่งระดับเป็นกองกำลังหลักหกคนเต็มๆ!
……
แม่น้ำพรมแดนกว้างใหญ่ ไหลเชี่ยวพลุ่งพล่าน สามารถพบเห็นมรสุมหอบม้วนได้ทุกหนทุกแห่ง ห้วงอากาศปั่นป่วน ภัยธรรมชาติเกรี้ยวกราดพบได้บ่อยครั้งบนที่แห่งนี้ เป็นภาพน่าสยดสยองถึงที่สุด
หลังจากเข้าสู่แม่น้ำพรมแดน โค่วซิงเรียกยานสมบัติสีเทาเข้มออกมาลำหนึ่ง บรรทุกทุกคนเดินหน้ากลางห้วงอากาศอย่างระมัดระวัง
หน้าเขียวกำลังนำทาง
จงอางแดงพานักผจญภัยคนอื่นๆ เฝ้าประจำการตามมุมต่างๆ ในยานสมบัติ รอตั้งรับเต็มรูปแบบ
ตามที่พวกเขากล่าวมา หลังจากเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนแล้ว อันตรายจะอุบัติขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แม้จะเป็นพวกหน้าเก่าที่มากประสบการณ์ก็ไม่กล้าละเลยการป้องกัน
ในแม่น้ำพรมแดนมีความเร้นลับและแปลกประหลาดมากมายเกินไป เวิ้งนภามืดสลัว มีบางจุดแตกเป็นเสี่ยงกลายเป็นหลุมดำหมุนวนที่พาให้คนพรั่นใจ บรรยากาศบีบเค้นหาที่เปรียบไม่ได้
ระหว่างทางพวกเขาได้พบเงาร่างของผู้ฝึกปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเป็นครั้งคราว เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกปราณระหว่างทางก็ค่อยๆ ลดน้อยลง…
ทันใดนั้นเสียงแปลกประหลาดลอยมาระลอกหนึ่ง เสียงอือๆ ฮือๆ เหมือนตัดพ้อร้องรำพัน ถึงจะแสนเบาหวิวแต่กลับสมจริงยิ่งนัก ราวกับลอยมาจากจุดลึกสุดของใต้หล้า
โค่วซิงหน้าเปลี่ยนสี เผนแววตกใจ ทอดมองไปยังที่ไกลๆ
ก็เห็นว่าบนพื้นผิวแม่น้ำสีเทาเข้มที่ไหลเชี่ยวพลุ่งพล่านไกลๆ มีเบาะรองนั่งสีเลือดน่าอัศจรรย์ใบหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลอยคว้างไม่มั่นคง
บนเบาะรองนั่งมีเงาร่างหญิงสาวที่คล้ายมีแต่ไม่มีคนหนึ่งกำลังก้มหน้าหลั่งน้ำตา บริเวณลำคอของนางถูกกระบี่เลือดเล่มหนึ่งเสียบผ่าน พาให้ผู้คนสะท้านสั่นเทา
คนอื่นๆ ต่างก็ผงะ เบาะรองนั่งสีเลือด มีหญิงสาวร่ำไห้ เสียงร้องโหยหวนเย็นยะเยือก กระบี่เลือดเจาะทะลุลำคอของนาง แต่นางกลับดูเหมือนไม่รู้ตัว
ภาพนี้ออกจะสยองขวัญไปหน่อยแล้ว
เพียงแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น โค่วซิงคล้ายมองเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ร้องตะโกนเสียงเข้ม “หนีเร็ว!”
นั่นคืออะไร
หลินสวินอยากถาม แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก พวกโค่วซิงก็บังคับยานสมบัติถอยห่างจากพื้นที่บริเวณนี้
โครมครืน!
ไม่นานหลนสวินก็ใจสะท้าน มองเห็นพื้นที่เบื้องหน้าพวกเขาแตกสลายกลายเป็นเสี่ยง เวิ้งนภาพังครืน แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกลายเป็นกระแสน้ำวนปั่นป่วน กลืนกินพื้นที่แถบนั้นทั้งแถบ…
“นี่…”
หลินสวินไหวหวั่น เมื่อครู่หากชักช้าไปเพียงนิดเดียว เกรงว่าคงจมมิดไปในพริบตา
“ลือกันว่านั่นคือเสี้ยวเจตจำนงอริยะที่เน่าเปื่อยในที่แห่งนี้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุดก็ไม่ถูกดับทำลาย ในแม่น้ำพรมแดน ขอเพียงบังเอิญพบเจ้าของเส็งเคร็งนี่ต้องรีบหนีห่างทันที หาไม่คงต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่!”
จงอางแดงอยู่แถวนั้นคล้ายกับมองออกว่าหลินสวินกำลังสงสัย จึงอธิบายเสียงขรึมหนึ่งครา
เสี้ยวเจตจำนงอริยะ!
หลินสวินนึกถึง ‘กองทัพวิญญาณอาฆาต’ ซึ่งเคยเจอที่สุสานสมุทรฝังมรรคในทะเลกลืนวิญญาณขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าเสี้ยวเจตจำนงอริยะนี้น่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ยานสมบัติมุ่งหน้าต่อไป บรรยากาศโดยรอบยิ่งบีบเค้นมากขึ้นทุกที ฟ้าดินมืดสลัว แม่น้ำไหลเชี่ยว ห้วงอากาศปั่นป่วน สายฟ้าและมรสุมเกรี้ยวกราดไม่หยุดหย่อน
แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกใจเต้นเนื้อกระตุก หากเขามาเองคงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปลึกกว่านี้แน่
และไม่น่าแปลกใจที่ในคำเล่าขานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แม่น้ำพรมแดนถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาภายในนี้ เพราะภาพในนี้น่าสะพรึงเกินไปจริงๆ
ตามคำบอกเล่าของจงอางแดง หากคิดจะไปถึงแดนชัยบูรพาอีกฝั่งหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาข้ามแม่น้ำพรมแดนนานกว่าครึ่งเดือน!
ยิ่งกว่านั้นเมื่อเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนลึกเข้าไป ความแปลกประหลาดและเคลือบคลุมที่พานพบทั้งหมดยังมีแต่จะน่ากลัวและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ…
โชคดีเพียงอย่างเดียวคือพวกโค่วซิงต่างเป็นมือฉมังมากประสบการณ์ เคยเข้าออกแม่น้ำพรมแดนหลายต่อหลายครั้ง มีพวกเขาคอยนำทางก็พอจะหลบเลี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิตส่วนหนึ่งได้
“หัวหน้า ท่านดูนั่น ภูเขากระดูกขาวลูกนั้นโผล่มาอีกแล้ว!” นักผจญภัยคนหนึ่งร้องอุทานเสียงหลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์