ยานสำเภาลอดผ่านภายใน ราวกับปลาที่แหวกว่ายอย่างยากลำบากท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
พวกโค่วซิงราวกับม้าแก่ชำนาญทาง แม้ระหว่างทางเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็ไม่คณามือพวกเขา ถูกพวกเขาหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิดครั้งแล้วครั้งเล่า
ภายในห้อง แม่นางเยวี่ยนั่งตัวตรง มือขาวสะอาดรินเหล้า รินเองดื่มเองอย่างผ่อนคลาย สงบใจรอ
ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันล่อใจผู้กล้าแห่งยุคทุกคนเป็นอย่างมาก หากสามารถไขว่คว้าโอกาสไว้ ก็จะสามารถเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะได้
นี่ไม่ด้อยไปกว่าปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร โผบินสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทั้งฐานะ ตำแหน่ง หรือแม้แต่มรรคาที่บำเพ็ญก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
แต่เหนือความคาดหมายของแม่นางเยวี่ย ครู่ใหญ่หลินสวินกลับส่ายหน้าพูด “ของสิ่งนี้ข้าไม่สามารถรับไว้ได้”
“เพราะเหตุใด” แม่นางเยวี่ยอึ้ง
หลินสวินตอบตามจริง “สิ่งนี้เกี่ยวข้องถึงปัญหาสำคัญ ยากที่ข้าจะตัดสินใจตอนนี้”
“เข้าใจได้”
แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญแล้วยิ้มบางๆ พูด “แต่ท่านไม่จำเป็นต้องปฏิเสธตอนนี้ จะได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ ในอนาคตก็จะรู้เอง”
ว่าแล้วนางก็ยื่นป้ายคำสั่งนี้ให้หลินสวิน “คุณชายอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย ถือซะว่าเป็นการคบสหายคนหนึ่ง”
หลินสวินดื่มเหล้าจอกหนึ่งแล้วยิ้มพูดอึ้ง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรับไว้”
จากนั้นทั้งสองก็ดื่มเหล้าพลางคุย นับว่าคุยกันถูกคอ จวบจนกระทั่งเวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น หลินสวินจึงลุกขึ้นบอกลา
……
‘น่าสนใจ เทพมารหลินไม่ได้เย่อหยิ่งและดุดันเหมือนอย่างที่เล่าลือ…’ แม่นางเยวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่ใสดูเหม่อๆ ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เป็นอย่างที่หลินสวินคาดเดา นางอ่านฐานะของหลินสวินออกตั้งนานแล้ว
เพียงแต่หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กัน นางจึงพบว่าเทพมารหลินคนนี้ไม่ได้เย่อหยิ่งและดุดันเลยสักนิด ตรงกันข้ามยังถ่อมตัวและเก็บตัวอย่างมาก ทำให้นางดูตื้นลึกไม่ออกนัก
‘สำนักในแดนฐิติประจิมพวกนั้นโง่จริงๆ ดันไม่มีที่ยืนให้บุคคลมากสามารถแห่งยุคคนนี้ สักวันพวกเขาจะต้องเสียใจ’
‘หากเป็นไปได้ ถือว่าสามารถสานสัมพันธ์กับเขาไปอีกขั้นหนึ่ง…’
ครู่ใหญ่แม่นางเยวี่ยเล่นจอกเหล้าในมือ มุมปากเผยองศาอันคลุมเครือยากจะเข้าใจ
……
‘ฝีมือของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ งามทั้งภายนอกและภายใน รู้จักเข้าหาคน สติปัญญาเทียบอสูร เป็นบุคคลปานปีศาจอสูรมารจริงๆ’
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็ทอดถอนใจ ดวงตาสีดำแฝงความชื่นชม
คบหาสมาคมกับคนฉลาด จะทำให้ระแวงโดยไม่รู้ตัว
แต่แม่นางเยวี่ยกลับแตกต่าง นางได้ซ่อนความสามารถของตนมานานแล้ว วางตัวอย่างรู้กาลเทศะ ใจกว้างไม่โอ้อวด ทำให้อคติไม่ลงจริงๆ
นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก และเป็นสติปัญญาที่แท้จริง
‘น่าสนใจ นางมาจากแดนเร้นอริยะสักแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะรู้ความลับมากมายที่คนนอกไม่อาจรู้ได้ ฐานะย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…’
หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ
จากที่คุยกับแม่นางเยวี่ยก่อนหน้านี้ ทำให้หลินสวินรู้แล้วว่าศัตรูที่ตามฆ่านางมาจากขุมอำนาจอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘อ้าวไหล’
อาณาจักรอ้าวไหลตั้งอยู่ใกล้กับทะเลอันกว้างใหญ่ของแดนชัยบูรพา อยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ถูกเรียกว่าเป็น ‘อาณาจักรโบราณนิรันดร์’
จากที่แม่นางเยวี่ยพูด อาณาจักรอ้าวไหลเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจเก่าแก่ชั้นยอดแห่งหนึ่ง ในอาณาจักรมีอริยะที่แท้จริงดูแล รากฐานมั่นคงอย่างที่สุด
ในอาณาจักรอ้าวไหล ขุมอำนาจทางการฝึกปราณล้วนปกครองโดย ‘ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งเจ้าอาณาจักร ราชครู หรือผู้ยิ่งใหญ่ในระดับอาณาจักร ล้วนเป็นลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เรียกได้ว่า ทั้งอาณาจักรอ้าวไหล แท้จริงแล้วล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์
หลินสวินไม่ได้รู้สึกสนใจลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น ที่ทำให้เขาตะลึงจริงๆ คือ แม่นางเยวี่ยคนนั้นมาจากแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่ง แต่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์กลับกล้าตามฆ่านาง จากเรื่องนี้สามารถดูออกว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาอย่างแน่นอน
ส่วนเหตุผลที่ถูกลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตามฆ่า คำตอบของแม่นางเยวี่ยในตอนนั้นง่ายมาก ‘ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นมรรคสายนอกมารร้าย อำพรางความชั่วร้าย ก่อกรรมทำเข็ญไปทั่วหล้า ทุกคนล้วนปรารถนาจะกำจัด’
แน่นอนว่าหลินสวินไม่เชื่อเหตุผลนี้ แต่สีหน้าในตอนนั้นของแม่นางเยวี่ยกลับจริงจังและเคร่งขรึมมาก ทำให้หลินสวินยากจะซักไซ้ต่อในชั่วขณะ
“หลินสวิน ข้าหิวแล้ว” ซย่าจื้อตื่นแล้ว ประโยคเดียวก็ทำให้หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด
……
ในเวลาเดียวกัน บนแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายเกินคาดเดา ยานสำเภาลำหนึ่งเคลื่อนที่พร้อมแสงประกายสีทองระยิบระยับอยู่กลางอากาศ
“แม้แม่น้ำพรมแดนจะอันตราย แต่ขอแค่ไม่เจอพวกเสี้ยวเจตจำนงอริยะสมควรตายพวกนั้น ก็ไม่สามารถคุกคามพวกเราได้มากนัก”
บนยานสำเภา ซุ่นไป๋เสวียนยิ้มพูด ดูย่ามใจอย่างมาก
“จริงสิ เจ้าเข้ามาในแม่น้ำพรมแดนครั้งนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เขาหันมองลั่วเจียที่อยู่ข้างๆ
“เสาะหาวาสนา”
ในมือลั่วเจียถือขนนกงดงามที่มีสีแดงสดราวกับเพลิง ขนนกสาดละอองแสงราวกับโลหิต แผ่กลิ่นคาวเลือดอันมืดมน น่าหวาดหวั่นอย่างมาก
ซุ่นไป๋เสวียนจำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่คือขนปีกบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวหนึ่ง วิเศษอย่างที่สุด มูลค่าไม่อาจประเมิน เป็นเจตวัตถุที่ใช้หลอมสมบัติอริยะ
อีกทั้งภายในของสิ่งนี้แฝงประทับมหามรรคของหงส์ดำเลือดทมิฬ มีประโยชน์ยอดเยี่ยมอย่างไม่อาจประเมินได้ต่อการฝึกปราณ
ซุ่นไป๋เสวียนราวกับตระหนักบางอย่างได้ พลันพูดอย่างแปลกใจ “เจ้าจะหาหงส์ดำเลือดทมิฬหรือ”
“ไม่ เป็นเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์