พอเห็นสีหน้าจริงจังของจี้ซิง ฉินเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเคารพในวิชายุทธ ที่อยู่ในใจของเขา
แรงจูงใจแอบแฝงในการฝึกฝน แตกต่างจากจอมยุทธส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เบียดเบียนคนอื่น หรืออาศัยสิ่งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ
จี้ซิงเทิดทูนแและเคารพในวิชายุทธอย่างแท้จริง
ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางฝึกฝนกระบวนท่าของตระกูลมากมายขนาดนี้ได้จนถึงขั้นสูงสุด แถมยัง ผสมผสานผลิกแพลงได้อีก
ช่วยไม่ได้ ฉินเทียนเก็บท่าทีขี้เล่นกลับไป แล้วตั้งสมาธิอยู่กับการโต้กลับ
เมื่อเห็นว่าวิชาหมัดและวิชาขา ไม่สามารถล้มฉินเทียนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ จี้ซิงก็หยุดชะงัก
ฉินเทียนเอ่ยกลั้วหัวเราะ: “จบแล้วเหรอ?”
“นายฟังฉันนะ ถ้าหลิวชิงเหยาชอบนายจริงๆ คงยอมรับนายไปแล้ว”
“ไม่อย่างนั้น นายทำอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”
จี้ซิงเอ่ยเสียงเย็น: “แกคิดเยอะไปแล้ว ตอนนี้คือสังเวียนของฉันกับแก ไม่เกี่ยวกับหลิวชิงเหยา หรือเกี่ยวกับใครทั้งนั้น”
พูดจบ เขาก็สาวบาร์เบลความยาวกว่าสองเมตร น้ำหนักกว่าสิบกิโลกรัมด้ามหนึ่งขึ้นมา ร้องย้าหนึ่งเสียง แล้วพุ่งเข้าหาฉินเทียน
ฉินเทียนเหงื่อตก
ไอ้หมอนี่ชักจะหาอาวุธเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?
เขาเริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน เหวี่ยงตัว หลบเจ้าด้ามเขื่องนี้ แล้วยกดัมเบลล์
หนักสิบกิโลกรัมสองลูกขึ้นมาด้วยสองมือ
ลืมบอกไป ดัมเบลล์มีด้ามจับอยู่ตรงกลาง และน็อตเหล็กตรงปลายทั้งสองด้าน
ใช้เป็นค้อน ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้แล้ว
ชิ้ง!
ชิ้ง!
เขาใช้ดัมเบลล์ตีบาร์เบลที่อยู่ในมือของจี้ซิง ภายในห้องออกกำลังกายที่กว้างขวาง ร้อนระอุขึ้นมาในทันตา
เมื่อได้ยินเสียงแบบนี้ หัวใจของทุกคนที่อยู่ด้านนอกก็บีบรัดขึ้นมา
ซินเฉียงกับเลขาหลี่รุ่ย ลุ้นให้จี้ซิงใช้ด้ามเหล็กทุบฉินเทียนให้ตาย พอเป็นแบบนี้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกไล่ออก
ด้ามบาร์เบลล์ในมือจี้ซิง ใช้การได้อย่างช่ำชอง พอโจมตีด้วยเพลงตะบองเส้าหลินไปรอบหนึ่งเสร็จ ก็เปลี่ยนกระบวนท่าทันที นำด้ามเหล็กมาเป็นทวน โดยใช้เพลงทวนของตระกูลหยาง
เพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็นเพลงดาบ เพลงกระบี่
กระทั่งสุดท้าย กระบวนท่าที่ใช้คือง้าวแหลมของหลู่ปู้ฟางเทียน
ฉินเทียนได้เปิดโลกทัศน์อีกครั้ง
ดัมเบลล์ในมือทั้งสองข้าง สะบัดลอยขึ้นไปกำบังด้านบน
พิจารณาจากรูปร่างของทั้งคู่แล้ว ดูผอมบางมาก แต่วินาทีนี้ แต่ละคนกลับถืออาวุธหนักกว่าสิบกิโล ไม่มีผลกระทบเรื่องความเร็วไม่พอ กลับกลายเป็นว่าว่องไวขึ้นทุกขณะ
เป็นการต่อสู้ที่แปลกแหวกแนวจริงๆ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง และแล้วจี้ซิงก็หยุดลง หอบหายใจนิดๆ
แต่ว่า สายตาของเขา กลับส่องสว่างยิ่งขึ้น
ราวกับคมมืดที่ผ่านการอาบเลือดสดๆ มาเล่มหนึ่ง
เขาจ้องมองฉินเทียน อย่างกับสัตว์ร้าย ได้เจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริง กำลังไตร่ตรองอยู่ว่า จะใช้พลังโกลาหลดีไหม
ฉินเทียนยิ้มพูด: “ใช้วิธีไก่กาพวกนี้ เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
“นายน้อย ได้ยินมานานว่าตระกูลจี้ของนายมีวิชายุทธที่ตกทอดกันมา ตอนนี้ นายยังไม่ยอมใช้มันอีกเหรอ?”
จี้ซิงเอ่ยอย่างดุดันว่า: “แกเป็นคนแรกที่บีบให้ฉันใช้ท่าไม้ตายได้”
“เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือนแก เมื่อไรก็ตามที่ใช้วิชายุทธของตระกูลจี้ ในสายตาฉัน ไม่มีมิตร มีแต่ชัยชนะเท่านั้น”
“และชัยชนะของฉัน มักสื่อถึงความตายของศัตรูเสมอ”
ฉินเทียนเข้าใจว่าจี้ซิงหมายถึงอะไร เมื่อไรก็ตามที่ใช้ท่าไม้ตาย เขาจะมีสมาธิจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่านอีกแล้ว
จนกระทั่ง คร่าชีวิตศัตรูในที่สุด
ท่าทีของเขาครั่นครามขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เอ่ยว่า: “สามารถเห็นวิชายุทธตระกูลจี้เป็นขวัญตา ถึงตายก็ไม่เสียดาย”
“ดี!”
นัยน์ตาของจี้ซิง ฉายแววเคารพ
นั่นคือการให้เกียรติคู่ต่อสู้ และเป็นการให้เกียรติตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือการให้เกียรติสายวรยุทธด้วย
สองมือของเขากำบาร์เบลกว่าสิบกิโล ค่อยๆเงื้อขึ้น แล้วเดินเข้าไปฟาดฉินเทียนช้าๆ
ฉินเทียนแววตาแข็งกร้าว
เมื่อครู่ จี้ซิงสะบัดกวัดแกว่งบาร์เบลราวกับพายุโหม แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความง่ายสบายๆ
ตอนนี้ กระบวนท่าที่ดูสะเปะสะปะนี้ กลับทำให้เขาเหมือนได้เจอศัตรูตัวฉกาจ
ยกของหนักเหมือนของเบา!
ยกของเบาเหมือนของหนัก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัญชามังกรเดือด
บท 656 มีไหน...
จะหาอ่านต่อได้ยังไงครับ...
ตอน 656 ไปไหน...
เรื่องนี้ไม่อัพเดทต่อแล้วหรอค่ะ...
เลิกเขียนแล้วใช่ไหมครับ...
นิยายเขียนต่อมั้ยครับ...