บทที่ 361 มรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง
ฟ้าดินกำลังสั่นสะเทือน ต้นไม้ใหญ่หักโค่น ผืนแผ่นดินแตกระแหงเป็นทาง จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงร้องของนกกับสัตว์ทิพย์ ตอนนี้เองก็มีเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วอย่างต่อเนื่อง
ชิงพุ่งตัวไปอยู่ข้างหน้าจูนจิ่วทันทีพร้อมตะโกนขึ้น “ศิษย์น้องรีบขึ้นไปบนเขาเร็ว ”แม้ว่าตอนที่แผ่นดินไหวบนภูเขาก็อันตรายเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถหลบหลีกสัตว์ทิพย์ส่วนใหญ่ได้ ทั้งหมดรีบมุ่งหน้าวิ่งไปบนภูเขา ตอนนี้เองก็มีสัตว์ทิพย์ที่ตกใจกลัวจนวิ่งผ่านข้างตัวพวกเขาไป จากนั้น ก็ค่อยๆรวมตัวกันกลายเป็นสายธารสัตว์ทิพย์ แต่ว่ายังโชคดีที่ตอนสัตว์ทิพย์กรูกันมา พวกเขาได้วิ่งขึ้นไปหลบอยู่บนเขาเรียบร้อยแล้ว
ในหูมีเสียงดังอื้ออึงไปหมด จูนจิ่วถอนหายใจหนึ่งเฮือกจากนั้นก็รีบปรับอารมณ์ ให้กลับมาหายใจได้ปกติ นางเงยหน้าขึ้นไปนางข้างหน้า ใต้พระจันทร์สีเลือดทุกสิ่งถูกเคลือบไปด้วยแสงสีแดงจางๆชั้นหนึ่ง แผ่นดินไหวใช้เวลาต่อเนื่องประมาณสิบลมหายใจจึงหยุดลง ทั่วทุกที่มีแต่ซากปรักหักพังอย่างน่าอนาถ “ทำไมจึงเกิดแผ่นดินไหวได้”มู่จิ่งหยวนขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งขรึมมีแววหนักใจอยู่หลายส่วน มหันตภัยธรรมชาติเช่นนี้ไม่รู้ว่าเหล่าลูกศิษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่ต้องพบกับคลื่นสัตว์ทิพย์ที่วิ่งผ่าน ที่หลบไม่ทันโอกาสรอดตายก็คงมีน้อยแล้ว
จูนจิ่วได้ยินก็มองไปยังมู่จิ่งหยวน นางพูดว่า “นี่ไม่ใช่แผ่นดินไหว หรือพูดได้ว่านี่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติแต่เป็นฝีมือคน”
“อะไรนะ ศิษย์น้องจูนทำไมจึงบอกว่าเป็นการกระทำของคนเล่า”
จูนจิ่วเก็บสายตา นางเงยหน้าเหมือนจะบอกให้มู่จิ่งหยวนมองไปข้างหน้า ชิงหยู่ก็จ้องไปยังทิศทางนั้นอย่างจริงจัง มู่จิ่งหยวนมองไปก็ต้องนิ่งอึ้ง เห็นเพียงแสงสีแดงปรากฏอยู่ตรงปลายสุดของสายตา เวลาผ่านไปแสงสีแดงก็ใหญ่ขึ้น จนกระทั่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แสงสีแดงนั้นกับพระจันทร์สีเลือดส่องประกายจากไกลๆ เติมเต็มซึ่งกันและกัน
ภาพเช่นนี้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากพื้นดินใช่หรือไม่ จึงได้ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนเช่นนี้ แสงสีแดงนั้นก็คือแสงไฟนำทาง มู่จิ่งหยวนจ้องมอง ในใจของมีความคิดหนึ่งที่เหลือเชื่อ แต่เขายังไม่ทันได้พูดออกไป ก็ได้ยินเสียงสงบเยือกเย็นของจูนจิ่วเอ่ยขึ้น “มรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง”
“เอ๋ ศิษย์น้องจูนเจ้ารู้ได้อย่างไร นี่เป็นความลับของทั้งสามสำนักศึกษา นอกจากเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสแล้วคนอื่นไม่มีใครรู้เด็ดขาด”ส่วนเขารู้ได้อย่างไร ก็เขามีฐานะเป็นว่าที่เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูคนต่อไปอย่างไรเล่า รู้ความลับก็เป็นเรื่องปกติ
แต่จูนจิ่วรู้ได้อย่างไร
นางมาที่สำนักศึกษาทั้งสามยังไม่ถึงครึ่งปี จะรู้ได้อย่างไร เครื่องความลับของ‘มรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง’
จูนจิ่วมองไปยังมู่จิ่งหยิ่งด้วยความเฉยเมย นางยังคงมีปฏิกิริยาที่สงบไร้คลื่นลม จูนจิ่วพูดว่า “เห็นบันทึกที่อยู่ในห้องหนังสือ แล้วเดาเอา”
มู่จิ่งหยวนเป็นใบ้พูดไม่ออก เช่นนั้นก็เดาได้ถูกเผง บทสนทนาของทั้งสองคนมีแต่ชิงหยู่ที่ฟังแล้วก็งงไปหมด เขาถามทั้งสองคนอย่างสงสัย “พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน ทำไมข้าฟังไม่รู้เรื่องเลย อะไรคือมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง ”
ในใจของมู่จิ่งหยวนคิดว่าในเมื่อจูนจิ่งพูดออกมาแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นความลับ มู่จิ่งหยวนจึงได้อธิบายให้ชิงหยู่ฟัง
อ๋องเซ่หยิ่งนั้นเคยอยู่ในสำนักศึกษาจื่อเซียวถือว่าเป็นปีศาจที่ร้ายกาจก็ว่าได้ เพราะมีอาวุธประจำกายเป็นดาบเซ่หยิ่ง บวกกับอยู่ในขั้นราชาทิพย์ ด้วยเหตุนี้จึงถูกขนานนามอ๋องเซ่หยิ่ง เขาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสามสำนักศึกษาอย่างไร้ข้อกังขา แม้ว่าจะเป็นถึงหนึ่งตำหนักที่อยู่สูงสุด นอกจากเจ้าตำหนักแล้วก็ไม่มีใครกล้าต่อกรกับเขา
เขาเป็นคนในตำนานจากโลกชั้นต่ำสามชั้น เพียงแต่เสียดายว่าปั้นปลายชีวิตของวีรบุรุษนั้น ได้ยินว่าหมกมุ่นจนเสียสติ แต่หลังจากที่เขาตายไปก็เหลือหลุมศพอ๋องไว้หลุมหนึ่ง ในหลุมศพยังซ่อนวิชาจิตดาบเซ่หยิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นเองไว้ และยังมีสมบัติล้ำค่าอีกมากมาย
ข่าวลือยังมีบันทึก ว่าคนที่ได้มรดกของอ๋องเซ่หยิ่งจะกลายเป็นอ๋องเซ่หยิ่งคนต่อไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...