บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ นิยาย บท 375

สรุปบท บทที่ 375 ศิษย์น้องร้ายกาจมาก: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

ตอน บทที่ 375 ศิษย์น้องร้ายกาจมาก จาก บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 375 ศิษย์น้องร้ายกาจมาก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ ที่เขียนโดย ต้าวเมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 375 ศิษย์น้องร้ายกาจมาก

“สามวันแล้ว”เหลิ่งยวนตอบ

ใช่แล้ว ตั้งแต่จูนจิ่วเข้าสู่สุสานอ๋องเซ่หยิ่ง เวลาได้ผ่านไปสามวันแล้ว เหล่งยวนเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอดเวลา เริ่มแรกเห็นเหล่าลูกศิษย์ที่พ่ายแพ้ออกมากลุ่มหนึ่ง เมื่อวานเห็นเพียงจี้อีหมิงออกมา

เขาแอบสะกดจี้อีหมิงเพื่อถามเขา ได้รู้ว่าจูนจิ่วไม่เป็นไรจึงค่อยโล่งใจ

แต่เขาก็นับว่าบกพร่องต่อหน้าที่ เหลิ่งยวนแอบมองโม่อู๋เยว่พลางคิด หน้าที่ของเขาคือติดตามปกป้องอยู่ข้างกายจูนจิ่ว แต่ตอนนี้เขากลับติดอยู่ด้านนอกเข้าไปไม่ได้

โม่อู๋เยว่ไม่ได้มองเหลิ่งยวน เขายื่นมือขวาออกมาด้านหน้าหมุนตามเข็มนาฬิกา ระหว่างที่แสงสีทองส่องประกายใต้ผืนดินก็มีเค้าร่างของสุสานขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

ทั้งใหญ่และลึกมาก โม่อู๋เยว่สำรวจและเขย่า

จุดลึกสุดของสุสาน บุรุษชุดแดงเห็นว่าสุสานเขย่าสามครั้งแล้วก็กลับคืนสู่ความสงบ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองบนปลายโดม สายตาหรี่ลงด้วยความระแวง ตอนแรกที่ออกแบบสุสานนี้ ไม่ได้ทำการวางค่ายกลป้องกันและเฝ้าระวังที่สูงมากนัก

เพียงแต่คนที่มีพลังสูงกว่าเขาทั้งหมด ไม่สามารถเข้ามาได้ ไม่เช่นนั้นสุสานจะถล่มลงมาเอง ทำให้เขาไม่ได้อะไรเลย คนที่มีพลังต่ำกว่าเขา ทำได้เพียงเดินตามค่ายกลที่เขากำหนดเอาไว้ ฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องกังวล

นอกสุสาน โม่อู๋เยว่ยิ้มร้ายกาจและเยาะเย้ย“เป็นการเล่นที่ฉวยโอกาสได้ดีมาก”คิดว่าทำอย่างนี้ก็จะสามารถสกัดคนที่มีพลังฝึกฝนมากกว่าตัวเองได้อย่างนั้นหรือ นั่นเพราะเขายังไม่เคยพบเจอกับคนที่แข็งแกร่งจริงๆ เช่นตัวเขา แค่เพียงความคิดเดียวก็สามารถระเบิดสุสานนี้ได้แล้ว เพียงแต่พอคิดถึงจูนจิ่ว โม่อู๋เยว่ก็ได้แต่เก็บความคิดรุนแรงเอาไว้

เขาแบมือขวาออก บนข้อมือมีเกล็ดมังกรแผ่นหนึ่งเห็นปรากฏเลือนราง โม่อู๋เยว่ดีดขึ้นไปข้างบนเบาๆ เสียงกระดิ่งดังขึ้นวนเวียนอยู่รอบตัว

เหลิ่งยวนได้ยินเสียงนี้ก็เงยหน้าขึ้น เขาเห็นม่านน้ำฉากหนึ่งเปิดออก ในสายตาปรากฏกระดิ่งเงินก่อน จากนั้นก็ลากสายตามองไกลออกไปก็เห็นจูนจิ่วและคนอื่นๆรอบตัวนาง ในม่านน้ำ จูนจิ่วกำลังจดจ่ออยู่กับการดูดและย่อยพลังจากหินหยกทิพย์

เหลิ่งยวนเห็นแล้วก็นิ่งอึ้ง “นี่กำลังทำอะไรกัน”

“เป็นด่านด่านหนึ่ง”โม่อู๋เยว่ใช้กระดิ่งเงินหมุนเป็นสามร้อยหกสิบองศาหน้าหลังซ้ายขวามองดูหนึ่งรอบ เพียงชั่วครู่ก็เข้าใจแล้วว่ากำลังทำอะไร ทั้งสิบสามคนกำลังล้อมรอบหินหยกทิพย์เพื่อฝึกฝน ก็เพื่อจะแข่งขันว่าใครเร็วกว่ากัน

เมื่อรู้แล้ว เหลิ่งยวนก็กระตุกในใจ คำพูดต่อมา ยิ่งทำให้ตกตะลึง “หินหยกทิพย์สำหรับพวกเขามันยากเกินไป จะดูดพลังจนหมดต้องใช้เวลาครึ่งปีเข้าไปแล้ว”

นี่ยังเป็นคำพูดที่ถูกเหลิ่งยวนเรียบเรียงให้สวยแล้วค่อยพูดเพื่อไม่ให้โม่อู๋เยว่ลงมืออย่างรุนแรง ที่จริงคงไม่ใช่แค่ครึ่งปี สามารถดูดพลังของหินหยกทิพย์ได้หมดในหนึ่งปี สำหรับพวกเขาสิบสามคนก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว เจ้าของสุสานเป็นบ้าอะไร ถึงได้ทำด่านโง่ๆอย่างนี้ขึ้น

หากต้องการหาคนที่จะสืบทอดมรดกที่ดีที่สุด ไม่สู้ใช้แค่หินทิพย์ หรือหินทิพย์ระดับสี่ก็พอแล้ว ใครดูดพลังได้ไวคนนั้นชนะ นี่มันดีกว่าหินหยกทิพย์ตั้งเยอะ

พอคิดว่าจูนจิ่วต้องเสียเวลาอยู่ข้างในเป็นเวลาหนึ่งปี ใจของเหลิ่งยวนก็เต้นโครมๆ เขาแอบสังเกตปฏิกิริยาของเจ้านายของตนอย่างระวัง ปรากฏพอเห็นแล้วก็ต้องอึ้ง โม่อู๋เยว่ไม่เพียงแต่จะไม่ขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ กลับยิ้มอย่างสบายใจ ในสายตาก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม

ทำไมยังยิ้มได้

โม่อู๋เยว่ “สำหรับคนทั่วไปพวกนั้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน แต่สำหรับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี ”

“เพราะอะไร”เหลิ่งยวนหลุดปากถามออกไป

เหลือบมองเหลิ่งยวนจากที่สูงลงที่ต่ำ โม่อู๋เยว่พูดต่อว่า “พรสวรรค์ของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คือระดับเจ็ดสีม่วง แล้วยังมีเสือขาวเสี่ยวอู่คอยช่วยเหลือ เจ็ดวัน มากสดก็เจ็ดวันเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อาศัยแค่ตัวเองก็สามารถย่อยพลังของหินหยกทิพย์ก้อนนี้จนหมด”

ซู้ด

เหลิ่งยวนสูดลมหายใจอึ้งตะลึง เจ็ดวันก็สามารถย่อยพลังได้หมด

โดยมีมู่จิ่งหยวน ฝู้หลินจ้าน ฝู้หลินซวงพวกเขาสังเกตได้ก่อน ทุกคนต่างหยุดลง เหนื่อยจนไม่สามารถดูดซับพลังได้อีกเป็นเหตุผลเล็กๆเท่านั้น ที่ทำเอาพวกเขาต้องหยุดลงอย่างตกใจก็คือหินหยกทิพย์มีการเปลี่ยนแปลงครั้งมหึมา

ต่างลืมตาขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อว่าหินหยกทิพย์กำลังส่งเสียงดัง พลังที่แข็งแกร่งบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านในอย่างมหาศาล ตอนนี้กำลังพุ่งออกไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาไม่ต้องค้นหาทิศทางที่พลังพุ่งตัวไป เพราะว่าตรงหน้าพวกเขา จูนจิ่วกำลังเปล่งประกายไม่มีใครสามารถมองข้ามได้

พลังที่ออกจากหินหยกทิพย์ หมุนวนอยู่รอบตัวจูนจิ่วเปล่งประกายดึงดูดสายตา ตอนนี้เงยหน้าขึ้นมอง รอบกายจูนจิ่วเปล่งประกายดุจดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ ทุกคนต่างต้องบังตาเพราะเกรงว่าจะตาลาย

ชิงหยู่กลับไม่ได้รู้สึกตะลึง เห็นทีคงเป็นเพราะความคุ้นชิน เพียงแต่พูดว่า “ศิษย์น้องข้าร้ายกาจจริงๆ”

“ซี้ด ชิงหยู่ ศิษย์น้องเจ้าจะไม่เป็นไรจริงหรือ”มู่จิ่งยวนอ้าปากอย่างตกตะลึง

เขายื่นมือออกไปแตะที่รอบนอกของวงแสง ถูกลวกคนต้องรีบเก็บมือกลับมา

ฝู้หลินจ้านก็พูดขึ้นว่า “เกรงว่า ความเร็วที่จูนจิ่วดูดซับพลัง จะมากกว่าพวกเราทั้งหมดรวมกันซะอีก นางแค่นักจิตชั้นสี่นะ ทำได้อย่างไรกัน นางจะรับไหวหรือ นางตัวเล็กแค่นี้ พลังพวกนั้นที่ดูดกลืนเข้าไปเอาไปไว้ที่ไหนกัน“

สองมือบังไว้ตรงหน้าดวงตา ฝู้หลินจ้านวิเคราะห์จูนจิ่วผ่านร่องนิ้วมือ

ไม่ว่าอย่างไรก็จินตนาการไม่ออก ร่างกายของจูนจิ่วนั้นเล็กมาก แล้วจะสามารถแบกรับพลังอันยิ่งใหญ่ที่แม้แต่นักจิตใหญ่อย่างพวกเขายังรับไม่ได้ได้อย่างไรกัน หากไม่ใช่เพราะจูนจิ่วกำลังฝึกฝนอยู่ เขาคงจะถามความจริงให้รู้เรื่อง

“อยากรู้ไม่สู้ช่วยกัน รีบดูดพลังหินหยกทิพย์ให้หมด ”ฝู้หลินซวงพูดอย่างเย็นชา เขาหลับตาต่อ

ได้ยินเขาพูด พวกฝู้หลินจ้านต่างก็รีบหลับตาลงดูดซับและย่อยพลังของหินหยกทิพย์ต่อไป มีเพียงฝั่งตรงข้าม ดวงตาหงยิงเบิกกว้าง ใบหน้าดุร้าย ฝ่ามือถูกจึกจนเลือดออก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ