ใครๆต่างก็รู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกับจูนจิ่ว ก่อนหน้านี้ก็ตอนที่แข่งขันทั้งห้าสำนัก จากนั้นก็แผนการต่างๆนานา ตีรันฟันแทง คิดอยากจะอยู่อย่างสงบ จูนจิ่วกับเจ้าสำนักเทียนซูต้องเหลือรอดเพียงหนึ่งเท่านั้น
ในสายตาของพวกเจ้าสำนักเทียนซู ขอเพียงจูนจิ่วมาก็ต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัย ฉะนั้นตลอดทางจึงไม่ได้มีลูกไม้อะไร เพราะเกรงจะทำให้จูนจิ่วหนีไปเสียก่อน
เดินทางอย่างราบรื่นจนเข้าสู่เขตแดนของสำนักศึกษาเทียนซู พวกจูนจิ่วพบเข้ากับพวกฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงเสียก่อน ยังมีจี้อีหมิง ทั้งสามคนพอเห็นพลังแท้จริงของจูนจิ่ว สีหน้าท่าทางเหมือนกับมู่จิ่งหยวนราวกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด
ทั้งสามคนคิด จูนจิ่วต้องวิปริตแน่
จี้อีหมิงพูดอย่างเป็นห่วงว่า “พี่สาว ถ้าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเห็นว่าท่านบรรลุได้ร้ายกาจขนาดนี้ ต้องจ้องท่านไม่ปล่อยแน่ พี่สาวน่าจะปิดบังไว้หน่อยเพื่อความปลอดภัย”
“ข้ากับเทียงฉิวเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม่ว่าจะมีตัวแปรอะไรพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยข้าไปแน่ ตามสบายก็พอ ”จูนจิ่วพูด
ฝู้หลินซวงพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของจูนจิ่ว
ต่อหน่าศัตรูไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ ยิ่งจูนจิ่วมีพลังของนักจิตชั้นแปดแล้ว ต่อหน้าสำนักศึกษาเทียนซูที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ได้ถือว่าน่าดูอะไร จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเลยสักนิด
ไม่สู้เปิดเผยออกมา ความเร็วในการบรรลุที่วิปริตร้ายกาจดุจปีศาจ ยังพอสามารถทำให้เทียงฉิวอกสั่นขวัญแขวนได้บ้าง
ตลอดทางเดินพวกเขาเดินอย่างไม่เร็วและไม่ช้า เพิ่งจะเข้าสู่เดือนสิบเอ็ดตอนที่พวกเขามาถึงด้านล่างของภูเขาสำนักศึกษาเทียนซู อากาศหนาวเย็น มีหิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้า ทำให้ภูเขาสูงตระหง่านตรงหน้าเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์สวยงามของเหมันตฤดู ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นชุดที่หนาขึ้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจูนจิ่วยังคงสวมชุดกระโปรงสีแดงบางเบา ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือมีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ใครเห็นก็ต้องรู้สึกหนาว
ฝู้หลินจ้านจ้องมองนาง “จูนจิ่ว เจ้าไม่หนาวหรือ”
“ไม่หนาว”จูนจิ่วยิ้ม ในอ้อมอกของนางอุ้มเสี่ยวอู่ที่ขดเป็นก้อนเป็นที่อุ่นมือสำหรับนาง และจูนจิ่วก็ไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
นางกำลังฝึกฝนวิชาฝึกตนชั้นที่สี่อยู่ วิชาจิตกำลังวิ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา พลังทิพย์ไหลเวียนเข้าสู่เส้นปราณ เป็นเครื่องปรับอากาศในฤดูหนาวให้อุ่นปรับอากาศในฤดูร้อนให้เย็นที่มาจากธรรมชาติ อากาศภายนอกไม่อาจจะมีผลกระทบต่อนาง ชิงหยู่รู้สาเหตุ
เขามองจูนจิ่วด้วยสายตาที่อิจฉา
เขาเองก็กำลังฝึกฝนวิชาฝึกตนชั้นที่สี่อยู่ แต่ว่าผ่านไปสามเดือนแล้วกลับไม่มีความก้าวหน้าเลยสักนิด แม้จูนจิ่วจะอธิบายให้เขาฟัง แต่ก็ยังก้าวหน้าได้ช้ามากอยู่ดี
เห้อ ทำไมเขาที่เป็นถึงนักจิตใหญ่ถึงได้เรียนรู้ได้ช้ากว่าศิษย์น้องนะ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เป็นเพราะศิษย์น้องร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อเกินไป
เพิ่งจะเข้าสู่ประตูภูเขาสำนักศึกษาเทียนซู ก็เห็นเงาสีแดงสายหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงสีแดงเหมือนกับจูนจิ่ว จูนจิ่วนั้นราวกับกุหลาบที่สวยสง่า ราวกับไฟที่ร้อนแรง งดงามล่มเมือง แต่นาง กระโปรงสีแดงเมื่อเทียบกับจูนจิ่วแล้ว ดูไร้รสนิยมและจัดจ้านเกินไป
อากาศในเดือนสิบเอ็ด หงยิงหลับเผยให้เห็นนวลเนื้อผืนใหญ่บริเวณหน้าอก ชายกระโปรงที่ผ่าออกเผยให้เห็นขาขาวเนียนสองข้างที่ช่างดึงดูดสายตา คนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าเป็นสาวงามดุจปีศาจจำแลง ทำให้เกิดความหื่นกระหายจนน้ำลายไหล
จากนั้นพอรู้ว่าเป็นหงยิง ถ้าไม่ตกใจจนเข่าอ่อน ก็ต้องตกใจจนตาย
เพชฌฆาตหญิงผู้มีชื่อเสียงของเทียงฉิว ฝีมือร้ายกาจโหดเหี้ยม คนในเทียนซูต่างก็หวาดกลัวนางมาก
แต่ถ้าหงยิงคิดจะแสดงท่าทีน่าเกรงขามต่อหน้าพวกเขา ก็คงต้องผิดหวังแน่
หงยิงจ้องจูนจิ่วเขม็ง แต่พอนางเห็นว่าจูนจิ่วได้บรรลุนักจิตชั้นแปดแล้ว ก็ตกใจจนไม่อยากจะเชื่อ แววตาของหงยิงมีแววอิจฉา โหดเหี้ยมและดุร้ายปะปนกัน นางจับเส้ที่เหน็บอยู่ตรงเอว เส้เดิมของนางถูกจูนจิ่วทำลายไปแล้ว แต่ว่าเส้เส้นใหม่นี้ลมกว่าและหนามแหลมก็มีพิษยิ่งกว่า นางเกือบจะอดทนไม่ได้ที่จะฟาดมันลงบนร่างของจูนจิ่วจนเลือดสาด
ควบคุมจิตใจที่ต้องการสังหารเอาไว้ หงยิงยิ้มร้ายและค่อยๆเงยหน้าขึ้น เดินเข้ามาตรงหน้าจูนจิ่ว หงยิงเอ่ยขึ้นว่า “จูนจิ่ว เจ้ายังจะกล้ามาเทียนซูหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...