มีการจัดที่พักของสำนักศึกษาจื่อเซียวกับสำนักศึกษาไท่ชูไว้ในบริเวณเดียวกัน แต่ที่ทำให้คิดก็คือ ที่อยู่ไม่ได้อยู่บนเขา แต่อยู่บนทะเลสาบหลังภูเขาลูกใหญ่ มีห้องหับที่สร้างขึ้นสิบสองหลัง ทั้งหมดรายล้อมจนทำให้เกิดเป็นลานขนาดใหญ่
เดือนสิบเอ็ดอุณหภูมิลดลงอย่างน่ากลัว พื้นผิวทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งบางๆ ทางเข้าก็มีเพียงสะพานที่เป็นทางเดินเท่านั้น
ตอนที่พวกเขาเดินขึ้นไปบนสะพาน ยังได้ยินผู้อาวุโสที่ดูแลสำนักศึกษาเทียนซูพูดอย่างมีเลศนัยว่า “อย่าได้ลงทะเลสาบสุ่มสี่สุ่มห้า ใต้ทะเลสาบมีค่ายกลนับร้อย แม้จะเป็นนักจิตใหญ่ก็ไม่มีใครกล้าทะเล่อทะล่าเข้าไป”
ขณะที่พูด ผู้อาวุโสก็จ้องมองไปที่จูนจิ่ว
พวกเขาไม่มีใครว่าอะไร พอไปถึงลานบ้านแล้ว ทราบว่าตนเองพักอยู่ตรงไหน จากนั้นก็รอผู้ดูแลจากไป ทุกคนก็รีบวิจารณ์กันทันที
ฝู้หลินจ้านสบถก่อนเป็นคนแรก “พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าที่นี่เหมือนคุกเลย ทางเข้าออกก็มีเพียงสะพานไม้ ใต้ทะเลสาบยังมีค่ายกล ถ้ามีคนมาปิดกั้นสะพานเอาไว้ พวกเราจะไม่ถูกขังอยู่ในนี้หรอกหรือ”
“อีกอย่างการเคลื่อนไหวของพวกเราต่างก็อยู่ในลานบ้านนี้ ”รอยยิ้มเอื่อยเฉื่อยที่มุมปากของชิงหยู่ก็หายไป เขาขมวดคิ้วมองจูนจิ่ว
จี้อีหมิง“พวกเราเปลี่ยนสถานที่ได้หรือไม่ ปรื๋อ อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกหนาวจัง”
สำนักศึกษาเทียนซูไม่สามารถให้พวกเขาเปลี่ยนสถานที่ได้แน่ แม้สถานที่แห่งนี้จะใหญ่โต มีสิ่งก่อสร้างสิบสองหลังที่รายล้อม ภายในยังมีสวนดอกไม้และศาลานั่งพัก เดินหนึ่งรอบก็ต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งวัน แต่เห็นได้ชัดนี่คือกรงขังแห่งหนึ่ง
จูนจิ่วมองทุกคนอย่างสงบ นางรู้ดีแก่ใจ กรงขังนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่ใช้เพื่อขังนางเอาไว้ ขอเพียงปิดกั้นสะพาน นางติดปีกก็หนีได้ยาก จูนจิ่วยิ้มเย็น เห็นทีเทียงฉิวจะเตรียมการไว้ดีพอสมควร ไม่รู้ว่าต่อไปจะวาดลวดลายอะไรอีก
เห็นทุกคนต่างก็มองมาที่นาง จูนจิ่วจึงเอ่ยปากพูดว่า “ในเมื่อเรียกเรามาก็ต้องจัดที่อยู่ให้ เดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว ทุกคนไปพักเถอะ ”
ทุกคนต่างพยักหน้า ที่นี่ไม่มีคนอื่น พวกเขาวิจารณ์กันอยู่นานและก็ไม่ได้เข้าไปในเรือน แต่ยังไงก็เข้าไปพักผ่อนก่อนเพื่อเสริมพลังกายและสติสัมปชัญญะของสมอง จึงจะสามารถต่อกรกับเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ห้องของจูนจิ่วอยู่ติดกับขอบทะเลสาบ เปิดหน้าต่างออกสามารถมองเห็นทะเลสาบ ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่อยู่ไกลออกไป หากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือว่าฤดูร้อน วิวทิวทัศน์ของที่นี่ต้องสวยงามมากแน่ๆ แต่ตอนนี้ ได้แต่ทำให้คนรู้สึกได้แต่ลมเย็นๆ เหน็บหนาวเข้ากระดูก
พอเข้าห้อง เสี่ยวอู่ก็รีบเร่งให้จูนจิ่วรีบก่อไฟ มันหนาวจนขดเป็นก้อนกลมยังไม่สามารถสกัดกั้นความหนาวได้
เมื่อก่อไฟเสร็จแล้ว เสี่ยวอู่ก็รีบวิ่งไปขดตัวอยู่ข้างเตาไฟทันที ไม่ขยับหนีแม้แต่ครึ่งก้าว
จูนจิ่วมองแล้วก็รู้สึกขัน กำลังจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆก็ต้องขมวดคิ้ว จูนจิ่วหันไปมองทางนอกหน้าต่าง ช่องว่างของหน้าต่าง สามารถมองเห็นเงาร่างของคนที่อยู่ข้างนอก คนคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้น ไม่เดินและไม่ขยับ
“เหมียว ”ในเวลาที่มีคนอื่นอยู่ เสี่ยวอู่จะไม่พูดภาษาคน ในเมื่อภาษาเหมียวๆจูนจิ่วก็เข้าใจได้ เขาระแวงจนกางกรงเล็บออก พูดว่า เจ้านายจะให้ข้าไปไล่เขาหรือไม่
จูนจิ่วส่ายหน้า นางให้เสี่ยวอู่ผิงไฟไปก่อน แต่นางกลับผลักประตูเดินออกไป พอเงยหน้าขึ้น สายตาของจูนจิ่วก็มีแววประหลาดใจ คนคนนี้นางรู้จัก แต่คิดไม่ถึงว่านางจะมาอยู่ที่นี่
“ป้าฟาง ”จูนจิ่วเรียกหญิงคนนั้น
“ไปเดินเล่นกับข้าเถอะ”ป้าฟางไม่รอให้จูนจิ่วตอบ แต่ก้าวเท้าเดินไปทันที ราวกับว่านางต้องการให้จูนจิ่วเดินไปกับนางให้ได้
แววตาขรึมลงเล็กน้อย จูนจิ่วก้าวเท้าตามไป นางเห็นป้าฟางพานางไปในที่ลับตาคน อดไม่ได้ที่จะสอดนิ้วเข้าไปในแขนเสื้อจับด้ามของมีดโยวยิ่งเอาไว้ ตอนนี้เอง ป้าฟางหยุดลง
นางยืนอยู่ข้างทะเลสาบ ต้นหลิวข้างๆถูกแช่แข็งเป็นสาย ใต้แสงอาทิตย์ส่องแสงระยิบระยับ จูนจิ่วคลายมือเดินไปยืนอยู่หลังป้าฟางห่างกันประมาณสามก้าว ป้าฟางพูดว่า “เจ้าคงมีคำถามมากมายอยากจะถามข้า ”
เลิกคิ้ว จูนจิ่วตอบเสียงเย็นๆว่า “ไม่มี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...