น้ำเสียงของจูนจิ่วนั้นเย็นชาแหลมคม คนที่คุ้นเคยกับนางต่างรู้ดี ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีนัก สีหน้าของฝู้หลินซวงไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังมีมองจูนจิ่วด้วยสีหน้าที่สงบและพูดว่า “ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง แต่ข้าจะไม่ขอร้องเจ้า ข้านับถือใจผู้กล้า และเจ้าก็คือคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาผู้กล้า”
“เจ้าคงไม่โง่จนเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอะไร ข้าก็จะสนับสนุนและช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มใจ”น้ำเสียงของฝู้หลินซวงนั้นเย็นเยือก แต่ฟังออกถึงความจริงใจในคำพูด
เขากับฝู้หลินจ้าน คนหนึ่งเย็นชาคนหนึ่งกระตือรือร้น แต่ที่เหมือนกันคือ พวกเขาชื่นชอบและนับถือผู้กล้า แต่ที่แตกต่างกันก็คงจะเป็น ฝู้หลินจ้านที่แสดงออกว่าชื่นชอบจูนจิ่ว เต็มใจอย่างยิ่งที่อยากจะเป็นเพื่อนกับนาง แต่เขา ด้วยพลังของจูนจิ่ว บวกกับพรสวรรค์และความแข็งแกร่งได้ดึงดูดเขามา หลังจากเป็นเพื่อนกันก็ยิ่งเข้าใจจูนจิ่วมากขึ้น ฝู้หลินซวงจะยืนอยู่ข้างนางอย่างไร้ข้อกังขา
ได้ยินคำพูดของฝู้หลินซวง มุมปากของจูนจิ่วก็เผยรอยยิ้ม
นางยิ้มและกะพริบตา “ฝู้หลินซวง เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังกับคำที่เจ้าพูดตลอดไป ข้ากลับไปก่อนล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน ”
“ได้ ”ฝู้หลินซวงพยักหน้า เลือกที่จะเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับจูนจิ่ว
แม้ว่าทุกคนจะอยู่ในลานบ้านเดียวกัน แต่ก็แบ่งชายหญิง ซ้ายขวาสองฝั่ง ที่ฝู้หลินซวงสามารถมองเห็นได้เมื่อครู่ ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ
จูนจิ่วกลับไปเพิ่งจะผลักประตูออก ก็เห็นก้อนขาวกลมๆพุ่งเข้ามา นางยื่นมือออกไปรับเสี่ยวอู่ได้พอดี
จูนจิ่วประหลาดใจ “ทำไม คิดถึงข้าหรือ”
“โม่อู๋เยว่ดึงขนข้า ”เสี่ยวอู่โมโห ชูหางขึ้นเผยให้เห็นเส้นขนที่หายไปนิดหน่อยตรงปลายหางของมัน จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองที่มือของโม่อู๋เยว่ ยังจับขนสีขาวเอาไว้
พอเห็นว่าจูนจิ่วมองเขา โม่อู๋เยว่ยังคงทำหน้านิ่งวางขนนั้นลงบนโต๊ะ
จูนจิ่วพบว่าสีหน้าของโม่อู๋เยว่ขรึมลงไปบ้าง ขณะที่นางกำลังสงสัย โม่อู๋เยว่ก็เอ่ยถามขึ้นกะทันหันว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าสนใจฝู้หลินซวงคนนั้นหรือ ”
จูนจิ่ว :……
นางนึกว่าเป็นอะไร โม่อู๋เยว่คงไม่ได้กำลังหึงหรอกนะ
คิดถึงพลังของโม่อู๋เยว่แล้ว เรื่องเมื่อครู่เขาไม่ต้องอยู่ด้วย ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน แต่บทสนทนาของนางกับฝู้หลินซวงไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา ทำไมต้องหึงด้วย จิตใจของบุรุษราวกับเข็มใต้มหาสมุทร
จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่เดินไปนั่งลงตรงข้ามกับโม่อู๋เยว่ นางยิ้ม “เป็นเพื่อนกับฝู้หลินซวงนั้นไม่เลว ”หึงจริงๆด้วย
พอได้ยินคำนี้ของจูนจิ่ว เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของโม่อู๋เยว่เปลี่ยนไป บรรยากาศอันตรายรอบตัวค่อยๆจางลง ปากบางยิ้มชั่วร้าย โม่อู๋เยว่พูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “ก็แค่นักจิตใหญ่ชั้นสอง ไม่มีสิทธิ์พอจะเป็นเพื่อนกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้ ”
จูนจิ่วเหมือนถูกพูดโจมตี“ท่านลืมไปหรือเปล่า ว่าข้าก็เพิ่งจะเป็นนักจิตชั้นแปด”
“ด้วยพรสวรรค์ของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ไม่ต้องใช้เวลาถึงปีก็ไปไกลกว่าพวกเขาได้แล้ว หรือบางทีครึ่งปีก็พอแล้ว”โม่อู๋เยว่พูดพลางมองนาง
จูนจิ่วยักไหล่ นางคบเพื่อนไม่ได้ดูที่พลังฝึกฝน แต่เป็นนิสัยใจคอ คบเพื่อนไม่ใช่คบชายรู้ใจ ไหนเลยจะต้องทำการคัดเลือกอย่างดีขนาดนั้น ทิ้งบทสนทนานี้ไปไม่พูดอีก จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า
นางถามโม่อู๋เยว่ว่าสามารถช่วยนางตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของป้าฟางได้หรือไม่ โม่อู๋เยว่สั่งให้เหลิ่งยวนไปทำงานทันที
ที่จริงไม่ต้องให้จูนจิ่วพูด เขาก็ต้องทำการตรวจสอบอยู่ดี กล้ามาสั่งการเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ของเขา ยื่นมือออกมายาวเกินไปแล้ว
……
วันรุ่งขึ้น เสียงระฆังดังไปทั่วใจกลางลานทะเลสาบ มีสาวใช้ในสำนักศึกษามาถึงที่ และถ่ายทอดคำสั่งว่าให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่อาคารตรงกลางสุดของลานกลางทะเลสาบ หน้าอาคารมีลานฝึกยุทธที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง ข้างในถูกสร้างขึ้นเหมือนห้องเรียน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...