“รอข้ามาตลอด”ค่อยๆหายใจ ฝ่ามือของจูนจิ่วยันไว้ที่หน้าอกของโม่อู๋เยว่ทำให้เกิดระยะห่างช่วงหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมามองโม่อู๋เยว่ ริมฝีปากยิ้มบางๆ “ถ้าหากท่านรอแล้วไม่พบข้าเลยเล่า”
โม่อู๋เยว่ “เช่นนั้นก็รอต่อไป เผ่าพันธุ์ของข้าจะรักแค่คู่วิญญาณของตนเองเท่านั้น ถ้าหากไม่มี ก็ต้องโดดเดี่ยวชั่วชีวิตเท่านั้นเอง”
เท่านั้นเอง
ม่านตาของจูนจิ่วขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย สายตามีแววตกตะลึงกับชื่นชอบวาบผ่าน เผ่าที่รักเดียวใจเดียวเช่นนี้ ใครบ้างจะกล้าปฏิเสธความรู้สึกของเขา รอยยิ้มที่มุมปากลึกขึ้นอีกหลายส่วน จูนจิ่วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เห็นทีท่านต้องขอบคุณข้า ที่ไม่ทำให้ท่านต้องโดดเดี่ยวตลอดชีวิต”
“ข้าจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อขอบคุณเจ้า ”โม่อู๋เยว่ยิ้ม ยิ้มอย่างชั่วร้ายเอาแต่ใจต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ใช้ทั้งชีวิตมาอยู่เคียงข้าง เขาใช้ทั้งชีวิตเพื่อขอบคุณ นี่เป็นเรื่องของกันและกัน เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดเช่นนี้ แสดงว่านางเริ่มจะจมดิ่งเข้าสู่ความเจ็บปวดแล้วใช่หรือไม่
แววตาสีทองมีแรงดึงดูดมากเกินไป ก่อนที่แม้แต่วิญญาณของตนเองก็จะถูกดูดเข้าไป จูนจิ่วละสายตาออก นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “คำพูดของป้าฟางข้าสามารถเชื่อได้สามส่วน แต่คำพูดของตู๋กูชิงเชื่อไม่ได้ทั้งหมด”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยากฟังเขาพูดเรื่องจริง จับตัวเขาแล้วสืบวิญญาณก็พอ”น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่เย็นชาโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที
จูนจิ่วส่ายหน้าปฏิเสธ
นี่เป็นทางลัดก็จริง เป็นวิธีที่ทั้งเร็วทั้งง่ายต่อการสอบสวน แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เบื้องหลังของตู๋กูชิงคือตำหนักไท่หวง เขามีฐานะสูงส่งเป็นถึงหนึ่งในเจ้าตำหนัก ขยับเพียงหนึ่งแต่เคลื่อนไหวไปทั้งหมด บางทีโม่อู๋เยว่สามารถที่จะไม่มองตำหนักไท่หวง่ให้อยู่ในสายตา แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ นางมีคนในครอบครัวมีเพื่อน ที่ต้องปกป้อง
พวกเขากำลังเติบโตและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตำหนักไท่หวงแล้วพวกเขายังแข็งแกร่งไม่พอ
จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “แม่ข้าเคยไปที่ตำหนักไท่หวง ไปที่นั่นข้าจะตรวจสอบได้ชัดเจนมากขึ้น ยังมี ข้าต้องรู้สถานะที่แท้จริงของแม่ข้าให้ได้ แล้วก็ครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังนาง”
ป้าฟางบอกว่า พวกเขาต้องการฆ่านาง เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นศัตรู
……
ต่อมา ตู๋กูชิงก็ไม่มาปรากฏตัวตรงหน้าจูนจิ่วอีก แต่ข่าวคราวของเขา กลับส่งมาถึงหูจูนจิ่วทุกวันมิได้ขาด
เรื่องใหญ่ๆก็เช่นตู๋กูชิงช่วยเหลือพวกเฟิ่งเซียวจนสามารถควบคุมสำนักศึกษาเทียนซูไว้ได้ทั้งหมด อีกทั้งยังได้รับอนุญาตจากตำหนักไท่หวง ให้สำนักศึกษาเทียนซูเป็นของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใดๆอีก เรื่องเล็กก็เช่น ตู๋กูชิงช่วยเหลือเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็มีชื่อของเขาส่งผ่านมาเข้าหูจูนจิ่ว
ข่าวคราวเหล่านี้ จูนจิ่วจดจำไว้ทุกเรื่องราว นางไม่ได้ไปสนใจตู๋กูชิง เพราะนางรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วตู๋กูชิงต้องทนไม่ไหวและมาหานางอีกครั้ง
สิ่งที่นางต้องทำ คือทำให้สำนักศึกษาเทียนซูมั่นคง เฟิ่งเซียวกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักศึกษาเทียนซู เหอซ่านเป็นรองเจ้าสำนักศึกษา โจวเตี๋ยและหยูนเฉียวต่างก็ได้เป็นผู้อาวุโส สถานที่แห่งนี้ จะกลายเป็นจุดยกระดับจุดที่สองของเย่ส้ากับเทียนอู่จง
จูนจิ่วกำหนดว่า ขอเพียงพลังบรรลุถึงนักจิตชั้นห้าแล้ว ก็สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาเทียนซูเพื่อฝึกฝนต่อไป
จุดเริ่มต้นที่สูงขึ้น ย่อมมีทรัพยากรที่ดีขึ้นกว่าเดิม จูนจิ่วสามารถมองเห็นอนาคต ที่เย่ส้ากับเทียนอู่จงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงวันหนึ่ง ที่มันจะสามารถหลุดพ้นจากสำนักศึกษาทั้งสาม มีพลังแข็งแกร่งพอที่จะสามารถเป็นคู่แข่งกับตำหนักไท่หวงได้ จากนั้นก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า……
เรื่องราวทั้งหมดสงบลงแล้ว เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูกับเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวมาแสดงความยินดี
จูนจิ่วไม่ได้ไปร่วมงานแสดงความยินดีด้วย นางซ่อนตัวเพื่อกลั่นยาอยู่เบื้องหลัง เพื่อเตรียมการไว้สำหรับอนาคต
หลังจากงานฉลองผ่านพ้นไป ตู๋กูชิงมาพบกับจูนจิ่วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เป็นการมากล่าวลา จูนจิ่วได้ยินคำพูดของชิงหยู่ก็รู้สึกประหลาดใจเลิกคิ้วถามขึ้นว่า “กล่าวลา?”
“คนที่มีจิตใจคิดไม่ซื่อจะจากไปแล้วไม่ดีหรือ”เสี่ยวอู่กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ เลียไปที่กรงเล็บและมองจูนจิ่ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...