บทที่ 98 เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์นี่เจ้ากำลังหลบข้าหรือ
กู่ซงคือผู้สังเกตการณ์ชมการประลอง
เขาเริ่มเจากเมื่อผู้คนรอบข้างเริ่มพูดกันถึงเรื่องข่าวลือ ผู้คนในสำนักเทียนโจ้งเริ่มแสดงท่าทีรังเกียจจูนจิ่ว ดูละครอยู่ตลอดมา ไม่เข้าไม่ลงมือ และก็ไม่เข้าร่วม เพียงยืนอยู่ข้างๆ รอดูว่าจูนจิ่วจะพลิกสถานการณ์อย่างไร เพื่อเป็นการตบหน้าจูนหยูนเสวี่ยและเฟิ่งเทียนฉีแรงๆ
เมื่อเห็นจูนหยูนเสวี่ยถูกคนหามลงมา กู่ซงลูบคางไปมา “จุ๊ๆ หมอเทวดาจูนจิ่วนี่ก็เก่งเหมือนกัน!ทั้งพละกำลังและฝีมือ ดูแล้วมิเพียงสามารถด้านการปรุงยาเท่านั้น ข้าไม่ควรสู้ด้วยกำลัง หากแต่ต้องใช้ปัญญาเสียแล้ว”
ทว่าแม้เลือกสู้ด้วยปัญญา กู่ซงก็ยังคิดไม่ออกในตอนนี้
พูดอย่างไม่ปิดบังเริ่มแรกเขามาเพื่อจูนจิ่วเท่านั้น แต่กลับถูกหยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยมองว่าเป็นพวกโรคจิต มิให้ย่างกรายเข้าใกล้จูนจิ่วแม้เพียงครึ่งก้าว กู่ซงไม่ได้รับความเป็นธรรม พลางคว้าดึงเส้นผมทอดถอนหายใจหันกายกลับเข้าที่พักตนเอง
ยังมีเวลา ค่อยๆ คิดก็แล้วกัน!
ในอีกด้านหนึ่งเมื่อจูนจิ่วต่อสู้กับจูนหยูนเสวี่ยแล้ว เฟิ่งเซียวและเสี่ยวอู่ต่างโอ้อวดชื่นชมอย่างเกินหน้าเกินตา ยกย่องสรรเสริญราวกับจูนจิ่วเป็นหนึ่งในสรวงสวรรค์และใต้หล้า แย้มยิ้มหน้าบาน เฟิ่งเซี่ยวหัวเราะกึกก้องพลางเอ่ยขึ้น “เสี่ยวจิ่วเก่งที่สุด!อย่างจูนหยูนเสวี่ยนะรึเรียกว่ามีพรสวรรค์?เทียบกับเสวี่ยวจิ่ว นางก็เป็นแค่ไก่ป่าเท่านั้น”
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว!” เสี่ยวอู่ดีใจลิงโลด ถูกต้อง จูนหยูยเสวี่ยก็แค่ไก่ป่าเท่านั้น!
พวกเขากลับไปยังที่พัก แต่มีเพียงเฟิ่งเซียวและหยูนเฉียวอยู่ที่นั่น เมื่อไม่พบโม่อู๋เยว่ในห้องนั้น จูนจิ่วก็นิ่งงันไปชั่วครู่ แต่ก็รีบจัดแจงปัดความคิดตัวเองเก็บไว้ในความคิด
นางนั่งลงตั้งอกตั้งใจวัดชีพจรเฟิ่งเซียวตามปรกติ เมื่อปรับสมดุลรักษามายาวนาน พิษที่อยู่ในร่างกายของเฟิ่งเซียวมานานปีก็ค่อยๆ ถูกกำจัดออก ร่างกายฟื้นตัวเป็นอย่างดี การตรวจจับชีพจรแบบลึกเหลือเพียงพิษที่อยู่มุมลึกที่สุดในร่างกายเฟิ่งเซียว
จูนจิ่วตรวจนับเวลา “เหลืองเพียงหนึ่งเดือนก็จะสามารถเริ่มทำการขับพิษได้”
“ไม่รีบไม่รีบ” เฟิ่งเซียวยิ้มแห้งตอบ จนถึงตอนนี้ เขายังไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเองนัก และไม่เคยตั้งข้อสงสัยการจัดการและวิธีรักษาของจูนจิ่วเลย เขายังคงคิดว่าตนเหลือเวลาชีวิตไม่มาก เพียงให้จูนจิ่วสบายใจก็เพียงพอแล้ว
เขาจะใช้เวลาที่ยังมีชีวิต ปกป้องคุ้มครองจูนจิ่วอย่างเต็มความสามารถ!
เมื่อกลับไปคิดถึงสถานการณ์ก่อนหน้า เฟิ่งเซียวไม่กล้าคิดหากเขาไม่อยู่ที่นั่น จูนจิ่วจะทำอย่างไร? เขาเชื่อว่านางรับมือได้ แต่ก็คงจะลำบากนัก เขาช่วยปกป้องจูนจิ่วได้ แค่นี้เสี่ยวจิ่วก็จะสบายขึ้นมากเลย
เฟิ่งเซียวครุ่นคิดพลางเอ่ยถาม “เสี่ยวจิ่ว ห้องเรียนนี่เจ้าคิดว่าจะไปอยู่หรือไม่?”
“เสียเวลา ไม่ไป”
“แม่นางจูนเจ้าจะไม่ไปจริงหรือ?” หยูนเฉียวที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยอย่างประหลาดใจ ไม่ไปเรียนแล้ว จูนจิ่วจะเรียนเป็นนักจิตได้อย่างไร และจะฝึกฝนอย่างไรกัน?
เฟิ่งเซียวก็ขมวดคิ้วขึ้น เขารู้ดีว่าที่จูนจิ่วมายังสำนักเทียนโจ้ง ก็เพื่อจะเรียนตามกำหนดเป็นนักจิต หากตอนนี้ไม่ไปเรียนเสียแล้ว นั่นไม่เท่ากับศูนย์เปล่าหรอกหรือ?เฟิ่งเซียวนิ่งคิด พลางเอ่ยปาก “เสี่ยวจิ่วหรือเป็นเพราะเจ้าซือถูซิวนั่น?หากเจ้าไม่ชอบ พระอัยยาข้าจะไล่มันไป และหาอาจารย์คนใหม่มาสอนเจ้า”
“แค่ตัวตลกร้ายในละคร อย่าไปสนใจอะไรเขาเลย ข้าไม่ไปห้องเรียนเนื่องเพราะไร้ประโยชน์ คัมภีร์ห้องหนังสือ ของสำนักสำหรับฉันก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
“แต่ว่าแม่นางจูนเจ้าเพียงอ่านหนังสือ จะเข้าใจหรือ?” ไม่ใช่ว่าหยูนเฉียวไม่เชื่อจูนจิ่ว
แต่ว่าการจะเป็นนักจิตได้มิใช่เหมือนการเดินจ่ายตลาด การฝึกนั้นสำคัญมาก!หากแม้ผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจถึงกับเลอะเลือนลุ่มหลง ยิ่งไปกว่านั้นอาจอันตรายถึงชีวิต หากไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ การฝึกฝนด้วยตัวเองเท่ากับเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยง!
เฟิ่งเซียวเริ่มขายตัวเอง “เสี่ยวจิ่ว ไม่อย่างนั้นให้พระอัยกาข้าสอนเจ้าเองดีไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...