ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เจอผ้าขนหนูที่วางอยู่บนชั้น ก็รีบหยิบมากางออกแล้วคลุมลงไปบนตัวของโม่โยว
โม่โยวเอียงหัว เผยให้เห็นใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ นิ้วที่เป็นสีขาวซีดจับผ้าขนหนูเอาไว้แน่น ปลายนิ้วมือซีดเผือด ข้อมือสั่นระริกไม่หยุด แทบจะเป็นลมหมดสติลงไปเสียตรงนั้น
ลู่จิ้นยวนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เดี๋ยวผมอุ้มคุณออกไปเอง”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่เอ่ยอะไรออกมาหลังจากที่เขากล่าวจบไปหลายวินาที ก็ถือว่าเธอตอบรับเห็นด้วย รีบโน้มตัวอุ้มเธอขึ้นมาทันที ทันทีที่ท่อนแขนเขาสัมผัสเข้ากับผิวกายอันนุ่มละมุน ในใจก็เกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายที่ค่อยๆ เอ่อล้นมากขึ้นทุกที
โม่โยวตัวแข็งนิ่งราวกับหินก็ไม่ปาน เมื่อถึงเตียงก็รีบหยิบผ้าห่มมาม้วนห่อร่างของตัวเองเอาไว้ มุดหัวเข้าไปข้างใน และไม่ขยับเขยื้อนตัวอีกเลย
เมื่อเขาเห็นเป็นดังว่าก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี ลังเลอยู่สักครู่จึงพูดขึ้นมาว่า “คุณวางใจได้ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
เมื่อกล่าวเสร็จเขาก็นึกคิดเสียใจขึ้นมาทันที สถานการณ์แบบนั้นจะไม่เห็นอะไรเลยได้อย่างไรกัน ถ้าเธอเชื่อลงก็คงจะบ้าไปแล้ว รู้อย่างนี้ไม่พูดอะไรออกไปยังจะดีสะกว่า
ผลปรากฏว่าโม่โยวมุดหัวลงไปลึกกว่าเดิมเสียอีก
มือที่อยู่ข้างใต้ผ้าห่มนั้นกำแน่น ใบหน้านั้นแดงก่ำจนจะระเบิด หน้าผากมีเหงื่อซึมชื้นออกมา มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ในใจของเธอนอกจากความรู้สึกอับอายแล้วยังมีความรู้สึกทรมานและไม่ชอบธรรมที่อธิบายไม่ถูกผสมปนเปเข้ามาด้วย
ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายนี้ เธอสรุปเหตุผลเอาว่ามีสาเหตุเนื่องมาจากโม่เทียนยวี๋
เมื่อนึกถึงโม่เทียนยวี๋ เธอก็นึกถึงคำพูดของแม่ของเขาที่พูดกับเธอเมื่อคราวที่แล้วในห้องทำงาน ใบหน้าที่มีสีแดงระเรื่อเมื่อครู่กับพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด สมองสับสนหัวหมุนไปหมด ถึงขนาดเกิดความรู้สึกโกรธขึ้งต่อลู่จิ้นยวนขึ้นมา
เธอรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เธอไม่ควรที่จะมีอคติต่อคนที่ช่วยเธอเอาไว้
แต่ว่าในใจก็รู้สึกแย่อย่างช่วยไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ราวกับว่าเป็นอีกด้านที่ได้พิสูจน์ว่าคุณแม่ของเทียนยวี๋นั้นทำให้เธอดูมีจุดด่างพร้อยอย่างไรอย่างนั้น
เธอสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังอยู่บนเตียงของลู่จิ้นยวน ใช้ผ้าห่มของเขาคลุมตัวอยู่ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมามาก ไม่คิดที่อยากจะอยู่ที่นี่อีก
โม่โยวค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมา “ประธานลู่ วันนี้ขอบคุณมากที่ได้ช่วยฉันเอาไว้ เรื่องเมื่อสักครู่นั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ อย่านำไปคิดใส่ใจมากเลยค่ะ ฉันอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้า รบกวนท่านช่วยออกไปรอข้างนอกได้ไหมคะ”
น้ำเสียงสงบนิ่งมาก ที่แม้แต่เธอยังอดรู้สึกชื่นชมในตัวเองไม่ได้
ลู่จิ้นยวนประหลาดใจกับความสงบนิ่งของเธอ จึงเผลอขมวดคิ้วขึ้นมา มีความรู้สึกไม่สบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
โม่โยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ใจสงบนิ่งลงอย่างสมบูรณ์ จึงเปิดประตูเดินออกไป
“ประธานลู่คะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วล่ะก็ ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ลู่จิ้นยวนรีบลุกขึ้นยืนทันที “เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะประธานลู่ ตอนนี้ก็ยังไม่ดึกนัก ฉันกลับคนเดียวได้ค่ะ ไม่รบกวนท่านแล้วนะคะ”
แม้น้ำเสียงของเธอจะราบเรียบ แต่อารมณ์ของเธอนั้นหนักแน่นเป็นอย่างมาก ลู่จิ้นยวนอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง ในที่สุดก็ทราบถึงสาเหตุที่ตนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อสักครู่นี้แล้ว
ผู้หญิงคนนี้กำลังหลบหน้าเขา ไม่ ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็ เธอกำลังขีดเส้น ก่อกำแพงกั้นเขาเอาไว้อย่างชัดเจน
ลึกเข้าไปในแววตาของเขานั้นปรากฏความดำมืดอันเฉียบคมขึ้น เขาไม่กล่าวอะไรเพียงแค่จ้องเธอไปแบบนั้น
ขณะที่กำลังจ้องอยู่เช่นนั้น จิตใจที่สงบนิ่งของโม่โยวก็อดที่จะสั่นไหวขึ้นมาไม่ได้ เธอขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจขึ้นมาอยู่ภายในใจ เธอกลับคิดว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธเธออยู่
เธอมองใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย แล้วพูดอย่างดื้อดึงขึ้นมาว่า “งั้นประธานลู่คะ ขอตัวก่อนนะคะ”
จนกระทั่งเธอได้ลับออกจากสายตาของเขาไปแล้ว ลู่จิ้นยวนก็ยังคงไม่เปิดปากเอ่ยชักชวนให้เธออยู่ต่อกับเขา ได้เพียงแต่มองแผ่นหลังของเธอที่จากไป แววตาที่ลุ่มลึกก็ราวกับว่าเป็นคลื่นน้ำวนกำลังหมุนคว้างอยู่
หลายวันต่อมา อันเฉินนำผลการดำเนินงานเข้ามารายงาน
“ประธานลู่ ตามข้อเรียกร้องขอท่าน ผมได้ให้สถาบันตรวจสอบยืนยันอัตลักษณ์บุคคลทั้งที่อยู่ในเมืองนี้ มณฑลนี้ รวมไปถึงองค์กรต่างประเทศ ดำเนินการยืนยันตัวตนแล้ว โดยนี่คือทั้งสามผลลัพท์ครับ กรุณาตรวจสอบด้วยครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก