ตอนที่โม่โยวอยู่ในห้องทำงานนั้นมีท่าทีที่ใจเย็นสงบนิ่งมาก น้ำเสียงที่ใช้พูดก็เรียบนิ่ง ในใจก็รู้สึกดังเช่นตามที่คิดจริงๆ แต่เมื่อกลับมาที่แผนกออกแบบ ตอนที่มีเพียงแค่เธอเพียงคนเดียว กลับสงบใจไม่ลงเลย
เรื่องที่ลู่จิ้นยวนเล่าให้ฟังนั้นวนฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้งอยู่ภายในหัวของเธอ 5 ปีผ่านไปแล้ว นี่ก็เป็นความทรงจำที่ผ่านมาของเธอ แม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกและความทรงจำร่วมด้วยมากนัก แต่ก็ยังคงทำให้รู้สึกผิดหวังและหงุดหงิดอยู่บ้าง
คิดไปคิดมาแล้ว ภาพสุดท้ายที่หยุดค้างอยู่ในหัวเธอก็คือ ลู่จิ้นยวนและลู่อันหราน ร่างน้อยใหญ่ของทั้งสองคน
หลังจากที่ลู่จิ้นยวนเลิกงานแล้วและกลับไปถึงบ้าน ก็ตรงดิ่งไปที่ห้องของเด็กน้อยเลยทันที เขาไม่อาจที่จะปิดบังลูกชายถึงเรื่องสถานะของโม่โยวได้
ปรากฏว่า สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่กับลู่อันหรานนั้นมันไม่ใช่เลย อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้มันก็ไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด
เด็กน้อยตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ครุ่นคิดถึงอะไรขึ้นมาได้จึงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กๆ มองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย พูดอย่างอึกๆ อักๆ ว่า
“ผมไม่เชื่อหรอก ผมเคยเห็นรูปของหม่าม๊า ไม่เหมือนกับโยวโยวเลยสักนิดเดียว พ่อมาหลอกเด็กแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ”
เขาขมวดคิ้วตาม “ตอนนั้นเกิดเรื่องทำให้แม่ของลูกหายสาบสูญไปเมื่อ 5 ปีก่อน แถมหัวยังได้รับการกระทบกระเทือนจนสูญเสียความทรงจำ ใบหน้าก็ได้รับบาดแผล จึงเข้ารับการผ่าตัดฟื้นฟู เพราะอย่างนี้ถึงได้ดูไม่เหมือนกับในรูปเมื่อ 5 ปีก่อนไง”
เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาไปสืบหามาได้
“พ่อไปเอาดีเอ็นเอของทั้งสองคนมาตรวจเปรียบเทียบ โรงพยาบาลในประเทศสองแห่ง แล้วก็สถาบันของต่างประเทศอีกหนึ่งแห่ง ผลตรวจความเป็นแม่ลูกกันทั้งสามฉบับมีผลลัพท์ออกมาแบบไม่ต้องสงสัยเลย เธอเป็นแม่ที่คลอดลูกออกมา เวินหนิง”
เด็กน้อยมองดูพ่อของตนเอง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้หลอกตน ปากเล็กๆ ก็เริ่มเบะออก ดวงตากลมโตก็มีน้ำตารื้นไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย
วินาทีต่อมา
“แง………” ลู่อันหรานร้องไห้เสียงดัง ดูแล้วช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่จิ้นยวนถอนหายใจออกมา นั่งลงแล้วอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมา วางลงบนตักของตัวเอง กอดให้ตัวแนบเข้ากับอกเขาแล้วเอ่ยปลอบประโลม
“ร้องไห้ทำไมครับ ไม่ใช่ว่าลูกอยากได้คุณแม่มาตลอดหรอกเหรอ หืม ตอนนี้เจอคุณแม่แล้วไง ลูกควรที่จะดีใจสิถึงจะถูก จากนี้ไปลูกก็เป็นเด็กที่มีแม่แล้วนะ”
ลู่อันหรานร้องไห้จนน้ำมูกไหล ไม่ได้ตั้งใจฟังที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “...........ผมไม่มีแฟนแล้ว”
ลู่จิ้นยวน “...........”
สีหน้าของเขาดำคร่ำเครียด ปลอบอยู่ตั้งนานที่แท้เด็กคนนี้มันร้องด้วยเหตุผลนี้หรอกเหรอ เขามีความคิดชนิดที่ว่าอยากจะจับโยนออกไปนอกหน้าต่างให้สิ้นเรื่อง
อดกลั้นไฟกรุ่นเอาไว้ โยนเขาลงไปบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วลุกขึ้นยืน มองเจ้าตัวน้อยจากมุมที่อยู่สูง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หุบปาก หยุดร้องได้แล้ว”
ผลปรากฏว่า เขาร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่เพียงเท่านั้น ยังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงแล้วพลิกตัวดีดดิ้นไปมาไม่หยุด
ลู่จิ้นยวนหรี่ตาเล็กลง ใช้น้ำเสียงขรึมทุ้มต่ำพูดขึ้นว่า “ลู่อันหราน พ่อว่าหนูอย่าดิ้นให้มันมากจะดีกว่านะ”
เป็นการตักเตือนที่เพิ่มความรู้สึกคุกคาม เพื่อให้เจ้าตัวน้อยที่ดื้อรั้นของตนได้คิดดู เด็กน้อยจึงจำใจยอมจำนน ทำปากยื่นออกมาอย่างไม่พอใจ รู้สึกว่าตนเองถูกกดดัน
บนหน้ากลมรูปไข่นั้นที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตากลมตายังมีหยาดน้ำตารื้นอยู่ ท่าทางไร้ชีวิตชีวา สูดน้ำมูกหลายทีแล้วจึงโบกมือน้อยๆ นั้นไปมา “ออกไปเถอะครับ ผมขออยู่คนเดียวเงียบๆ อาลัยกับความรักที่จากไปของผม”
ลู่จิ้นยวน “...........” ก็ยังมีพอมีแรงเหลืออยู่สินะ
เขาถอนหายใจออกมา ยกตัวเด็กน้อยขึ้นมาด้วยมือเดียว “พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย เธอเป็นแม่ของลูกนะ ต่อไปนี้ห้ามเรียกชื่อเธอตรงๆ มันไม่ให้เกียรติคนที่โตกว่าเลยนะ"
ลู่อันหรานหน้างอ ในดวงตาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เจ้าตัวน้อยนั้นปากไม่ตรงกับใจ ในใจเขาสับสนวุ่นวายไปหมด ในชั่วขณะที่ดีใจนั้น ก็กลับรู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของตนที่จะให้แม่มาเป็นแฟนสาวนั้นค่อนข้างน่าละอายอยู่บ้าง
“แล้ว โยว......หลังจากที่เธอรู้เรื่องแล้ว มีท่าทีเป็นยังไงบ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก