“โอเค ก็สมควรแล้ว ไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไร ขอแค่เธอพอใจก็โอเคแล้ว ฉันจะไม่ไปเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนที่เธอไม่ชอบ พวกเราไม่ต้องไปสนใจท่าน เรื่องที่ไม่ชอบใจ ก็ไม่ต้องไปทำ” ลู่จิ้นยวนรีบเอ่ยขึ้นมา ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้พูดออกมา
เวินหนิง “..........”
เธอเม้มริมฝีปาก สำหรับท่าทีของลู่จิ้นยวนแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นแม่ที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา
แม้ว่าในใจของเธอจะคิดเช่นนี้ แต่ที่พูดออกมาเมื่อสักครู่ก็ตั้งใจทำให้ดูน่าสงสัยเล็กน้อย ไม่คาดคิดเลยว่า ลู่จิ้นยวนจะพูดออกมาเช่นนี้ อีกทั้งกลับทำให้เธอไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้ว
“เวินหนิง ฉันพูดไปแล้ว เชื่อใจฉัน เรื่องระหว่างพวกเราก็ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้ ฉันจัดการได้ทั้งหมด ขอเพียงแค่เธอเชื่อใจฉันเพียงแค่สักเล็กน้อยก็พอแล้ว อย่าพึ่งรีบปฏิเสธฉันแบบนี้เลย ดีไหม”
เวินหนิงมองไปที่เขา ในแววตาลึกๆ ของเขาลู่จิ้นยวนมีทั้งความร้อนใจและเป็นกังวล และยังมีความหวาดกลัวที่ยากจะรับรู้ได้เจือมาด้วย เธอหลุบตาลงต่ำเล็กน้อย
แววตาแบบนี้ ไม่อาจที่จะยอมรับเลยได้ว่า ตัวเธอนั้น........ใจอ่อนแล้ว
“เอาไว้คุยกันวันหลังเถอะ” เธอเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
ลู่จิ้นยวนถอนหายใจออกมา แม้ว่าเวินหนิงจะไม่ได้ตกปากรับคำ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ขอเพียงแค่ไม่ได้กล่าวปฏิเสธออกมาอย่างชัดๆ ก็แสดงได้ว่าเรื่องนี้ยังมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้อีก
ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน เมื่อเวินหนิงคิดที่จะไป เขาจะต้องงัดทุกกลเม็ดออกมา อาศัยข้อได้เปรียบทุกอย่างกระทำการอย่างหน้าไม่อายรั้งให้เธออยู่ต่อ แต่ว่าตอนนี้ เขาไม่กล้าที่จะกระทำการใดๆ ที่ก้าวล้ำเกินเส้นไปแม้แต่น้อย
ทำได้เพียงจ้องดูเธอจากไปอย่างตาไม่กระพริบ เพียงแต่ว่าก่อนหน้าที่จะจากไปนั้น เขาสั่งให้ผู้ดูแลบ้านรีบเก็บข้าวของสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของลูกชายอย่างรวดเร็ว แล้วจึงถือกระเป๋าเดินทางมาสองใบ จัดกระเป๋าเตรียมส่งลูกชายไปให้เวินหนิง
ต่อให้เวินหนิงเกลียดขี้หน้าเขา แต่การกระทำนี้ของเขา ก็ทำให้เธอซาบซึ้งใจอยู่
หลังจากที่ฟื้นคืนความทรงจำ เธอไม่อยากที่จะแยกห่างจากลูกชายเลยแม้แต่น้อย และการที่ลูกชายได้อยู่กับเขานั้น แน่นอนว่าก็เป็นความฝันที่เฝ้ารอคอยมาโดยตลอด
อันหรานเองก็พอดูออก ระหว่างทั้งสองคนมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ตามแม่ไปอย่างว่าง่าย แน่นอนว่าการที่ได้อยู่กับแม่นั้น เขาก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา
ส่วนสำหรับตัวพ่อของเขาแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแสดงความเห็นใจเท่านั้น
………….
ในห้องรับรองพิเศษของร้านกาแฟร้านเล็กๆแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์สาดส่องตกกระทบลงบนกระจก
“พระเจ้า นี่เราไม่ได้เจอกันมานานมากขนาดไหนเนี่ย ฉันหมายความว่า แวบแรกตอนที่ฉันเห็นเธอ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเธอมีอะไรผิดปกติไปน่ะ”
“ที่แท้ก็คือได้ความทรงจำคืนมาแล้วนี่เอง ชื่อจริงๆ ของเธอคือเวินหนิงงั้นสิ อื้ม ไม่เลวๆ ฟังดูดีกว่าโม่โยวอะไรนั่นเสียอีก ไอ้โม่เทียนยวี๋กับตระกูลของมันก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรเลย ไปใช้สกุลเดียวกับพวกมันแล้วจะเป็นการเสียเกียรติเอา”
เย่ซือเยวี่ยกับเวินหนิงนั่งอยู่บนโซฟา บนโต๊ะตัวน้อยที่อยู่ข้างหน้า มีกาแฟกับของหวานไม่กี่อย่างวางไว้อยู่ เพลงช้าๆ สบายอารมณ์ที่เล่นอยู่ในห้องรับรองพิเศษ ทำให้คนรู้สึกเพลิดเพลินยิ่งนัก
เวินหนิงยิ้มออกมา และไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่ได้ฟื้นคืนความทรงจำ เธอก็กลับมองเรื่องเกี่ยวกับโม่เทียนยวี๋ได้อย่างกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ถูกทั้งตระกูลของโม่เทียนยวี๋หลอกลวงเธอ เธอก็ยังคงจะมีจิตใจซาบซึ้งขอบคุณต่อตระกูลโม่อยู่หรอก แต่ ณ ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะหลอกเธอ แต่ช่วงเวลาห้าปีนั้น ก็ได้รับการดูแลจากพวกเขาจริง ก็ถือว่าแล้วกันไปละกัน
เธอรู้จักเพียงแค่เย่ซือเยวี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น และมีเพียงแค่เธอที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจขนาดนี้ ความรู้สึกคับข้องที่อัดอยู่ในใจ นอกจากเธอคนนี้แล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะไปคุยกับใคร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก