เย่ซือเยวี่ยคิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมา สีหน้าก็พังคลืนลงมาในบัดดล
“เวินหนิง เดี๋ยวผ่านไปสักระยะหนึ่งฉันก็จะไม่อยู่ที่เจียงเฉิงแล้ว สำนักงานใหญ่โยกฉันให้ไปอยู่สาขาย่อย ไปเมืองตี้ตู ความเจริญภายในเมืองตี้ตูพัฒนาไปไกลมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่สำนักงานใหญ่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเลื่อนขั้น ก็มีเพียงแค่ว่า ต่อไปนี้พวกเราก็จะไม่ได้อยู่เมืองเดียวกันแล้ว”
เธอพูดออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด จึงไม่ได้สังเกตถึงท่าทีที่แปลกไปของเวินหนิง
“ซือเยวี่ย ความจริงแล้วฉันก็กำลังจะบอกกับเธออยู่พอดีเลยว่า ฉันก็จะไปเมืองตี้ตูแล้วเหมือนกัน ก็คงไม่ต่างอะไรมากไปจากเธอหรอก ย้ายไปสำนักงานใหญ่ของลู่กรุ๊ปที่อยู่เมืองตี้ตู”
เย่ซือเยวี่ย “..........”
เดิมทีตนนึกว่าจะต้องแยกจากกับอีกฝ่าย ไม่คาดคิดเลยว่าทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องเกินคาดที่น่ายินดียิ่งนัก
ออกมาจากห้องรับรอง ตอนที่เดินผ่านห้องโถง เย่ซือเยวี่ยกลับหยุดฝีเท้าลง แล้วถลันตัวไปด้านข้าง เอากายของเธอหลบอยู่ในซุ้มจัดดอกไม้ประดับ ชะโงกหัวออกไปดูอย่างลับๆ ล่อๆ
เวินหนิงสงสัย “เธอเป็นอะไรไปน่ะ”
“ชู่ เธอดูโต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่างทางด้านซ้ายนะ มุมด้านข้างของผู้ชายคนนั้น ดูคุ้นตาบ้างไหม” เธอหรี่ตาลงพลางพูดออกมา
เวินหนิงเงยหน้าขึ้นไปมอง จากนั้นก็พลันพูดออกมาอย่างตกใจว่า “ว้าย นั่นอันเฉินหรือเปล่า”
“เป็นไอ้โรคจิตคนนี้นี่เอง” เย่ซือเยวี่ยเอามือลูบอกตนเอง กัดฟันพูดลอดไรฟันออกมา
เวินหนิง “..........”
“เดี๋ยว รอก่อน เธอจะทำอะไรน่ะ” เวินหนิงเห็นเธอกำหมัดเตรียมที่จะพุ่งออกไป จึงรีบคว้าเธอให้หยุดเอาไว้ก่อน
เย่ซือเยวี่ยชะงักค้างไป จากนั้นก็พยักหน้าทั้งที่ราวกับว่ายังอยู่ในห้วงความคิดอยู่ พูดอย่างกระซิบกระซาบว่า “ใช่แล้ว ฉันไม่อาจที่จะขายขี้หน้าไปพร้อมกับไอ้โรคจิตคนนั้นได้”
เธอพูดขึ้น จากนั้นก็รีบหยิบเครื่องสำอางค์ขึ้นมาจากในกระเป๋า แล้วจึงเริ่มแต่งหน้าเติมปาก
เวินหนิงนึกว่าชักจูงเธอจนสำเร็จแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาทันที แต่ว่าในทันทีต่อมาเธอก็ต้องผงะด้วยความตกใจ คนตรงหน้าหวีผมหน้าม้าให้ตรงเป็นระเบียบ ถักเปียทั้งสองข้างแบบหลวมๆ คิ้วดกดำเป็นแพ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วย‘กระ’ เด็กสาวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายชนบทคนนี้เป็นใครกัน
เย่ซือเยวี่ยหันซ้ายทีขวาทีมองตนเองในกระจก ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงใช้มือจัดแจงผมหน้าม้าตนเองลงมา “ทำไมความรู้สึกโดยรวมเหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไปนะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมอง รีบกวักมือเรียกพนักงานบริการที่กำลังเดินมาทางนี้ให้เข้ามาหาในทันที “น้องคะ รบกวนขอดูแว่นตาของน้องหน่อยได้ไหมคะ”
พนักงานคนนั้นไม่เข้าใจความหมาย แต่ว่าลูกค้าคือพระเจ้า เธอจึงยอมทำตาม
เมื่อแว่นตามาอยู่ในมือเธอ เย่ซือเยวี่ยจึงเอาขึ้นสวมด้วยตนเองในทันที หยิบกระจกขึ้นมาส่องดูอีกที แล้วจึงดีดนิ้วขึ้นมาเสียงดัง “ฮะฮ่า นี่สิถึงจะถูก แค่นี้ก็คงไม่มีใครจำร่างเดิมของฉันได้แล้ว ฉันนี่มันจะสามารถเกินไปแล้วนะ”
ขณะที่เธอพูดก็ล้วงหยิบเอากระดาษหลายใบที่มีรูปคุณปู่เหมาเจ๋อตงในกระเป๋าออกมาแล้วยัดใส่มือของพนักงานคนนั้นไป “แว่นตาอันนี้ฉันซื้อเลยแล้วกัน ขอบคุณนะ” หลังจากที่พูดเสร็จ ก็วิ่งปรี่ไปที่โต๊ะของอันเฉินในทันที แม้แต่เวินหนิงเองก็คว้าเธอเอาไว้ไม่ทัน
“พี่เฉิน เป็นพี่จริงๆ ด้วย เมื่อกี้นึกว่าจำคนผิดไปแล้วสะอีก ในที่สุดก็ได้เจอพี่แล้ว” เย่ซือเยวี่ยทั้งร้องโวยวายเสียงดัง ทั้งโถมตัวเข้าใส่อันเฉิน
ด้วยมือที่ว่องไวของอันเฉิน ทำให้เธอไม่อาจที่จะโถมตัวเข้าใส่เขาได้จริงๆ เขาเบี่ยงหลบออกมาในทันที
เย่ซือเยวี่ยผงะไป มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตา ราวกับเขาได้ทำเรื่องเลวร้ายจนฟ้าพิโรธได้อย่างไรอย่างนั้น “พี่เฉิน ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้”
กล่าวจบ เธอก็จ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายที่สวมชุดราตรีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พลันเอานิ้วชี้ไปที่เธอผู้หญิงที่มีท่าทางสวยสดงดงามคนนั้น “นี่เป็นเพราะเธอใช่ไหม เป็นเพราะเธอ พี่ถึงได้ทิ้งฉันไป”
อันเฉินสีหน้าเคร่งขรึมดำทะมึน เขาทำหน้าขรึมมองไปที่เย่ซือเยวี่ย “คุณ คิด ที่ จะ ทำ อะ ไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก