กู้ชุนลี่เรียนหนังสืออยู่ที่อำเภอ ทุกครั้งที่เขาหยุดเรียนกลับบ้าน ล้วนเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับแม่เฒ่าซุน
แม่เฒ่าซุนถือว่ากู้ชุนลี่คือความหวังที่จะสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเขาเป็นพิเศษ ดังนั้นที่บ้านมีเสื้อผ้าดีๆ หรือของกินอร่อยๆ อะไร ก็ล้วนเก็บไว้ให้เขา
ส่วนเรื่องที่ว่ากู้ชุนลี่เรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้างนั้น นางจะไปเข้าใจอะไรได้ นางคิดเพียงว่าหลานชายของตนเรียนหนังสือเก่งที่สุด ย่อมต้องสอบได้จอหงวนอย่างแน่นอน
บัดนี้เมื่อกู้ชุนลี่กลับมา คนที่ยินดีที่สุดก็คือกู้เหมยตั่ว เพราะกู้เหมยตั่วอยากให้กู้ชุนลี่สอนนางรู้หนังสือ
ใช่แล้ว คือการรู้หนังสือ เจ้าของร่างเดิมไม่รู้หนังสือ เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อการกระทำและคำพูดการวางตัวของกู้เหมยตั่วในภายภาคหน้าอย่างยิ่ง เพราะการกระทำและคำพูดเหล่านี้ล้วนต้องมีที่มา ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องรู้หนังสือ
และในตระกูลกู้ มีเพียงกู้ชุนลี่ผู้เดียวที่รู้หนังสือ
สำหรับกู้ชุนลี่ พี่ชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ กู้เหมยตั่วไม่เข้าใจเขาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงตอนที่เขาหยุดเรียนกลับมา ถึงจะได้พบหน้ากันบ้างเป็นครั้งคราว
ในใจของกู้ชุนลี่ น้องสาวลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยคนนี้เป็นคนที่ไม่มีตัวตนมาโดยตลอด แต่ครั้งก่อนที่ท่านย่าจะขายน้องชายฝาแฝด กู้เหมยตั่วกลับต่อกรกับท่านย่า ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ทำให้เขามองกู้เหมยตั่วเปลี่ยนไป
น้องสาวลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ทั้งอวดดีทั้งกร่าง ลงมือตีคนในครอบครัวจนทุกคนเอ่ยถึงนาง หน้าก็เปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
เมื่อเห็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องมาหาตน เขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
กู้เหมยตั่วเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล “พี่ใหญ่ ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือไม่?”
กู้ชุนลี่ถามอย่างเย็นชา “เจ้ามีธุระอะไร?”
แม้ว่าจะเกลียดชังบ้านใหญ่อยู่บ้าง แต่เมื่อมีเรื่องต้องขอร้องผู้อื่น ก็จำต้องลดท่าทีลง
“พี่ใหญ่ ข้าอยากให้ท่านสอนข้ารู้หนังสือ”
“รู้หนังสือรึ?”
กู้ชุนลี่ประหลาดใจอย่างยิ่ง เด็กผู้หญิงที่รู้หนังสือในหมู่บ้านนี้ไม่มีแม้แต่คนเดียว อย่าว่าแต่เด็กผู้หญิงเลย แม้แต่เด็กผู้ชายก็มีน้อยเต็มที แต่น้องสาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้กลับอยากจะรู้หนังสือ
กู้เหมยตั่วกระแทกท่อนไม้ลงบนพื้น เชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า
“ใช่แล้ว ข้าอยากรู้หนังสือ รู้หนังสือก็จะอ่านตำราได้ ในตำรามีเรื่องราวแปลกใหม่น่าสนใจมากมายที่ข้าไม่รู้ ข้าไม่ค่อยได้ออกไปไหน ข้าอยากเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก ดังนั้นข้าจึงอยากรู้หนังสือ พี่ใหญ่ท่านสอนข้าเถอะ”
คิดได้สวยงามเสียจริง กู้ชุนลี่ส่ายหน้าอย่างแรง ท่าทีแน่วแน่
“ไม่ได้ ท่านย่าไม่ยอมแน่ เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านไม่มีใครเรียนหนังสือ เจ้าจะเรียนไปทำไม? เจ้าเรียนงานเย็บปักถักร้อยให้ดี เรียนทำอาหารทำเสื้อผ้าให้เป็นก็พอแล้ว อนาคตหาครอบครัวสามีดีๆ ให้ได้สำคัญกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น”
กู้เหมยตั่วยืนกรานอย่างหนักแน่น “ข้าก็แค่อยากเรียนหนังสือ เรียนหนังสือช่วยเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ ท่านเรียนได้ เหตุใดข้าจะเรียนไม่ได้?”
กู้ชุนลี่คิดในใจ ‘เจ้าเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ ก็เพื่อจะอกตัญญูไม่เชื่อฟัง ต่อต้านคนในครอบครัวเช่นนั้นรึ? หึๆ อย่าฝันลมๆ แล้งๆ ไปเลย’
กู้เหมยตั่วบิดตัวนั่งลง แสดงนิสัยอันธพาลออกมา
“กู้ชุนลี่ วันนี้หากท่านไม่ตกลง ข้ากับท่านได้เห็นดีกันแน่!”
“ท่านสอนข้าวันละไม่กี่ตัวอักษร ไม่กี่ประโยค จะเสียเวลาท่านสักเท่าไรกัน? ถือซะว่าท่านทบทวนบทเรียนไปในตัวก็แล้วกัน”
กู้ชุนลี่ยังคงไม่ยอมตกลง
กู้เหมยตั่วหน้าตึงขึ้นมา ตกลงกันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม? โอ๊ย นี่มันนิสัยขี้วีนของข้าอีกแล้วนะเนี่ย!
“พรึ่บ” นางลุกขึ้นยืนกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง บนพื้นปรากฏรอยเท้าลึกๆ รอยหนึ่ง
“ท่านไม่ตกลงรึ? ท่านมีสิทธิ์อะไรมาไม่ตกลง? เงินที่ท่านใช้เรียนหนังสือก็เป็นเงินที่พ่อข้ากับพี่ชายข้าหามา ท่านไม่รู้ตัวหรือไร? ก็แค่ให้ท่านสอนข้าไม่กี่ตัวอักษร พูดประโยคสองสามประโยค มันจะยากอะไรนักหนา”
“ท่านเรียนหนังสือมาสิบกว่าปี แม้แต่ซิ่วไฉยังสอบไม่ได้ เสียเวลาไปเพียงครู่เดียว ย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไรนักหรอก”
กู้ชุนลี่มองรอยเท้าแล้วตกใจสะดุ้งเฮือก อีกอย่างการสอบซิ่วไฉไม่ผ่านถือเป็นจุดอ่อนของเขา เขาจึงกลัวที่สุดหากมีคนพูดถึงเรื่องนี้
นังเด็กนี่แรงเยอะปานวัว หากตนไม่ตกลง เกรงว่านางจะอาละวาดก่อเรื่อง ทั้งยังกลัวว่านางจะปักหลักอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนจริงๆ
นักปราชญ์กล่าวได้ถูกต้อง ‘อันสตรีและคนต่ำทรามนั้นยากแท้หยั่งถึง’
ตนเป็นบัณฑิตจะไม่ถือสาหาความกับเด็กกะโปโลให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้
เขาหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา โยนลงบนโต๊ะ แล้วเปิดออก
กู้เหมยตั่วมองดูก็เห็นว่าเป็นคัมภีร์สามอักษร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จากสาวบ้านนา สู่ฮูหยินจอมพยัคฆ์