สรุปตอน บทที่ 1210 การหลอมยาทองครั้งที่สอง – จากเรื่อง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่
ตอน บทที่ 1210 การหลอมยาทองครั้งที่สอง ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดยนักเขียน จูผาซู่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนล้วนตกตะลึงไปกันหมด มองไปยังหลินหยุนและซิงเฟยที่เหาะเหินไปไกลแล้ว แม้เป็นเวลานานแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครเคลื่อนไหว
หลินหยุนไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่น พาซิงเฟยมุ่งหน้าไปไกล
ครึ่งวันผ่านไป บริเวณเทือกเขาแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนก็ได้หยุดลง
หลินหยุนปล่อยพลังทลายภูเขาจนกลายเป็นถ้ำแห่งหนึ่งขึ้น
ซิงเฟยรีบถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ทำไมจะต้องหยุดลงที่นี่ด้วย? นายได้รับบาดเจ็บเหรอ? ”
หลินหยุนเดินเข้าไปในถ้ำ พร้อมกับจัดวางค่ายกลที่มองไม่เห็นเอาไว้บริเวณด้านหน้าปากถ้ำ
หลินหยุนพูดขึ้นว่า “ฉันจะหลอมยา! ”
ซิงเฟยตกใจ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ “นายจะหลอมยาที่นี่? แล้วฉันล่ะ......”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร คุณพักอยู่ด้านข้างก็ได้แล้ว! ”
ขณะที่พูด หลินหยุนก็นั่งขัดสมาธิ
บนมือเกิดแสงกะพริบขึ้น แก้วหินศพสีดำนั้นก็ปรากฏขึ้นบนมือ
ขับเคลื่อนพลังบำเพ็ญ เพื่อให้แก้วหินศพเข้าสู่ภายในตันเถียน
ขับเคลื่อนพลังทิพย์ ให้พลังยาทองระเบิดขึ้น เพื่อดูดซับและหลอมได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน แสงสีดำก็เริ่มวนเวียนอยู่รอบตัวของหลินหยุนแล้ว
เวลานี้ร่างของหลินหยุนเหมือนจะโปร่งใส มองเห็นยาทองภายในตันเถียนได้อย่างชัดเจน
โอสถสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด โดยดูดซับพลังงานที่มาจากแก้วหินศพนั้นอย่างต่อเนื่อง
แก้วหินศพมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก จากการหลอมและดูดซับ ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
มองเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ใกล้มากขนาดนี้ ซิงเฟยตกตะลึงจนแทบจะหุบปากไม่ลง นี่คือการหลอมยาทองใช่ไหม?
พลังพลุ่งพล่านที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ได้ล้มเลิกจินตนาการความคิดของเธอลงโดยสิ้นเชิง
ยาทองของหลินหยุนทำให้เธอรู้สึกว่ายากเกินกว่าจะอธิบาย
ไม่รู้ว่านานเท่าไร แก้วหินศพถึงจะถูกหลอม ดูดซับ และหลอมรวมเข้าสู่ภายในยาทองทั้งหมด
ทำให้เดิมทีสีทองอ่อน ๆ เปล่งประกายสีดำออกมา
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ซิงเฟยรู้สึกถึงความเหลือเชื่อก็คือ ยาทองของหลินหยุนไม่เหมือนกับสิ่งของที่ไม่มีชีวิต แต่เป็นดั่งสิ่งของที่มีชีวิตชีวา
นี่คือสิ่งที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เพราะว่าเธอมีพลังบำเพ็ญที่ขาดอีกเพียงขั้นเดียวก็จะหลอมยาทองได้แล้ว อีกทั้งยังมีเบื้องหลังที่เป็นถึงตระกูลซิงที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นยอดฝีมือยาทองที่ซิงเฟยเคยพบเจอนั้น ก็ถือว่ามีจำนวนไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ติดตามหลินหยุนนี้ แม้แต่ยาทองระเบิดจนแหลกละเอียด ก็ได้พบเห็นมากมายแล้ว
แต่ไม่มียาทองเม็ดใด ที่สามารถเทียบได้กับเม็ดนี้ของหลินหยุน ซึ่งสามารถรวบรวมพลังทั้งหมดของแก้วหินศพได้
ภายในตันเถียน ยาทองพลันสั่นสะเทือนขึ้น
ในที่สุด สีดำทั้งหมด ก็ได้กลับกลายเป็นร่องรอยสีดำ และระเบิดส่งเสียงดังที่ชัดเจนออกมา
หลินหยุนลืมตาสองข้างขึ้นทันที แววตาของเขามีแสงเทพปลดปล่อยออกมา
หลินหยุนสูดหายใจยาว แล้วก็ลุกขึ้น มองไปยังซิงเฟยและพูดว่า “ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว? ”
ซิงเฟยรีบตอบขึ้นว่า “สิบสามวัน! ”
หลินหยุนตกใจ จากนั้นก็พยักหน้า
เวลายาวนานกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าปกติ เพราะ นี่คือการหลอมครั้งที่สอง
หลินหยุนในตอนนี้ รู้สึกว่าดวงจิตของตนเองมีความแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก
ความแข็งแกร่งของยาทอง ได้พัฒนายกระดับขึ้นอย่างมากเลย
เดินออกมาจากถ้ำ
หลินหยุนมองไปที่ซิงเฟย และพูดขึ้นว่า “เธอไม่ต้องตามฉันแล้วล่ะ เธอก็เห็นแล้ว หากอยู่ข้างฉันก็จะประสบกับอันตรายได้ทุกเมื่อ! ”
ซิงเฟยตกใจ เบิกตาโพลงแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่กลัวอันตราย! ”
หลินหยุนพูดว่า “แต่ว่า เธอติดตามฉันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร! ”
นี่คือคำพูดจากใจจริงของหลินหยุน
เขารู้สึกว่า พาซิงเฟยไปไหนมาไหนด้วย ไม่ค่อยจะสะดวกมากนัก
แน่นอนว่า เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่ต้องการให้ตนเองเป็นต้นเหตุ แล้วไปสร้างความเดือดร้อนให้กับฝ่ายตรงข้าม จนกระทั่งสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลของเธอ
ในที่สุดซิงเฟยก็อดไม่ได้จึงถามขึ้นว่า “นายบอกว่าจะไปสำนักแห่งหนึ่ง ตกลงว่าคือสำนักอะไรกันแน่? สำนักใหญ่หรือว่าสำนักเล็ก? ”
หลินหยุนค่อย ๆ ลืมตาสองข้างขึ้น และพูดว่า “น่าจะถือว่าเป็นสำนักใหญ่! ”
อย่ามองว่าได้มาถึงบริเวณที่ห่างจากสำนักหยุนเยว่ไม่ถึงห้าสิบกิโลเมตรแล้ว
แต่ ซิงเฟยก็ยังไม่รู้ว่า ที่นี่คือบริเวณขอบเขตของสำนักหยุนเยว่
เก้าสำนักใหญ่ สำนักหยุนเยว่คือหนึ่งในไม่กี่สำนักที่มีความลึกลับอย่างที่สุด โลกภายนอกก็ไม่มีลูกศิษย์ ส่วนภายในสำนัก ล้วนมีแต่ลูกศิษย์เพศหญิง
ดังนั้น คนในโลกภายนอก นอกเสียจากสำนักใหญ่ระดับเดียวกันแล้ว ก็จะไม่รู้ว่าสำนักหยุนเยว่อยู่ที่ไหน
ซิงเฟยได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยปากถามขึ้นอีกว่า “สำนักใหญ่? คือสำนักใหญ่ไหนเหรอ? ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า “เมื่อถึงแล้วเธอก็จะรู้เอง! ”
ซิงเฟยอดไม่ได้ที่จะเบะปากทำท่าทางไม่พอใจ “ยังจะมาทำเป็นลึกลับอีก”
รถเมฆค่อย ๆ ขับเคลื่อน ครึ่งวันผ่านไป ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของหุบเขาใหญ่ที่กว้างขวางและลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ภายในหุบเขา รวมถึงด้านบน เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวอย่างหนาแน่น
ภายในหมอกควันนั้น มีค่ายกลที่มองไม่เห็นอันแข็งแกร่งแอบซ่อนอยู่
ซิงเฟยใช้ดวงจิตตรวจสอบ เมื่อเข้าไปสู่ท่ามกลางหมอกควันสีขาวที่หนาแน่นแล้ว ดวงจิตก็ถูกทำลายลงในทันที
ทำให้เธอตกตะลึงเป็นอย่างมาก หันหน้ามองไปที่หลินหยุนแล้วพูดว่า “ท่ามกลางหมอกควันสีขาวนี้ค่อนข้างประหลาด! เหมือนจะมีค่ายกลซ่อนอยู่! ”
หลินหยุนพยักหน้า และพูดว่า “ถูกต้อง! มันคือค่ายกล! ” พูดจบก็ลอยตัวลงมาสู่พื้นดิน
ซิงเฟยก็ตามลงมา แล้วก็เก็บรถเมฆขึ้น
หลินหยุนพูดว่า “ตามฉันมา! ”
ขณะที่พูด ก็เหาะเหิน ทะลุทะลวงเข้าไปในหมอกควันสีขาว
ซิงเฟยรีบตามอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองคนพยายามเปลี่ยนทิศทางและตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานก็ออกมาจากเมฆหมอก มาถึงหุบเขาอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็ลอยตัวลงสู่พื้นดิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...