บทที่ 1272 กลับมาเมืองมี่หยุนอีกครั้ง – ตอนที่ต้องอ่านของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
ตอนนี้ของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1272 กลับมาเมืองมี่หยุนอีกครั้ง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
“ฉันไม่เคยพบเจอ และยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า มีอัจฉริยะแบบเขาอย่างนี้ด้วย! ”
“สำหรับเรื่องอื่น ฉันคิดว่า เขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีน้ำใจไมตรีอย่างมากคนหนึ่งเลย”
“ตรงจุดนี้ถือว่าหาได้ยากทีเดียว”
“ฉันเคยคิดที่จะจับคู่เขากับชิงถงที่เป็นลูกสาวของฉันด้วย แต่เจ้าชิงถงนั้น เฮ้อ ช่างเถอะ......”
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉินเหมยก็ยิ้มอย่างขมขื่น
สำหรับเรื่องนี้แล้ว เธอคงมีแต่ความเสียใจอย่างเดียวจริง ๆ
แน่นอนว่า นั่นคือความคิดในตอนที่เธอยังไม่ได้เห็นถึงพลังที่เก่งกาจอันน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงของหลินหยุน
เมื่อเธอรับรู้ถึงพลังบำเพ็ญ พรสวรรค์ความสามารถ และระดับความเก่งกาจของหลินหยุนแล้ว ความคิดดังกล่าวนั้นก็สูญสิ้นไปอย่างหมดจด
น่าขันอย่างยิ่งที่ว่าลูกสาวที่หน้าโง่ของเธอนั้นกลับยังคงหมางเมินในตัวของหลินหยุน
เหอะเหอะ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเย้ยหยันอย่างมากจริง ๆ เลย
ถ้าหากหลินหยุนสนใจและมองมายังลูกสาวของเธอบ้าง ก็จะถือว่าเป็นบุญวาสนาที่ลูกสาวของเธอนั้นสั่งสมมานานนับร้อยปีเลย!
แน่นอนว่านี่คงเป็นสิ่งที่เธอคิดเท่านั้น
สำหรับหลินหยุนเองแล้ว ฉินชิงถงนั้น ก็คงจะเป็นแค่คนที่ถูกมองข้าม
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาจดจำได้นั้น ก็คงจะเป็นสถานะลูกสาวของน้าฉิน
แต่ไหนแต่ไรหลินหยุนเองไม่เคยมีความคิดอะไรสักเล็กน้อยต่อฉินชิงถงเลย
ดั่งคำกล่าวที่ว่าถูกงูกัดครั้งเดียว ก็กลัวเชือกไปสิบปี
หญิงสาวอย่างฉินชิงถงนี้ ชีวิตหนึ่งพบเจอเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอแล้ว
ได้ฟังที่ฉินเหมยพูด สามเยว่ก็พยักหน้า
จากที่เธอได้เคยสัมผัสกับหลินหยุนเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เธอเองก็มองออกว่า หลินหยุนนั้นมีความทะนงโอ้อวดอยู่ในจิตวิญญาณส่วนลึกของเขา
แต่เธอเองก็ไม่รับรู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว
เห็นอาการเศร้าหมองขมวดคิ้วบนใบหน้าของฉินเหมย สามเยว่ก็หัวเราะเบา ๆ และพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวลไป สำนักเทียนหยุนนั้นไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรที่หนักหนาได้ จากพลังความสามารถของสำนักเทียนหยุนในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างความแตกหักกับสำนักหยุนเยว่ได้จริงหรอก”
“พวกเขาไม่ได้โง่เขลาสักหน่อย”
“ตอนนี้ พวกเขากับสำนักหยุนเยว่ แทบจะถือว่าเป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน”
“หากจะต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลกกับสำนักหยุนเยว่ แล้วทำให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ไปโดยง่าย พวกเขาไม่ทำเด็ดขาด! ”
ฉินเหมยดวงตาเป็นประกาย และรีบพูดขึ้นทันทีว่า “อาหญิงสาม ที่พูดนี้หมายความว่าอย่างไร? ”
สามเยว่พูดขึ้นว่า “ง่ายนิดเดียว การประลองยุทธเก้าสำนักใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พลังความสามารถของสำนักเทียนหยุนในตอนนี้ ได้ถูกหลินหยุนบั่นทอนกำลังลงไปไม่น้อยเลย! ”
“เมื่อพวกเขาสร้างความแตกหักกับสำยักหยุนเยว่อีก จากเดิมที่อยู่ในสถานะที่ยังไม่ล่อแหลมไม่อันตราย จะกลับกลายเป็นว่าตกอยู่ในสถานะที่ล่อแหลมและอันตรายเอาได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างมากเลยทีเดียว”
ได้ฟังสามเยว่พูดแบบนี้ ฉินเหมยเองก็เบาใจลงได้บ้าง แต่ก็ยังคงไม่เชื่อมั่นอยู่ดี
“เพราะว่า ฝ่ายตรงข้ามให้เวลาเราเพียงแค่สามวัน อาหญิงสามของพวกเราก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก ต่อให้อาหญิงคนอื่นมา ก็เกรงว่าจะไม่สามารถยับยั้งรับมือกับผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทียนหยุนนั้นได้! ”
สามเยว่ส่งเสียงฮึและพูดว่า “แม้ไม่ได้จริง ๆ! แต่ว่า พวกเขาก็คงไม่ได้เปรียบอะไร! วางใจเถอะ! ” ฉินเหมยครุ่นคิดชั่วครู่ และพูดว่า “อาหญิงสาม ตอนนี้ที่ฉันกังวลก็คือ หากหลินหยุนรับรู้ข่าวสารนี้ เขาคงจะมาที่นี่อย่างแน่นอน เมื่อเขามาถึงแล้วจริง ๆ ก็คงจะยุ่งยากไปกันใหญ่! ”
สามเยว่ได้ยินดังนั้นก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
โดยก่อนหน้านี้ที่เธอพักอาศัยอยู่กับตระกูลฉิน ก็เพื่อที่จะช่วยเหลือตระกูลฉินต่อต้านแรงกดดันที่มาจากสำนักเทียนหยุน
โดยเป้าหมายสูงสุดก็คือ ช่วยเหลือหลินหยุน ป้องกันไม่ให้ข้อมูลของเขาหลุดออกไป
แน่นอนว่า มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับแหล่งที่มาของตระกูลฉินอย่างมาก
ไม่อย่างนั้นก็คงจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่มากกว่านี้
แต่เมื่อหลินหยุนปรากฏตัวขึ้น ก็ขัดกับเป้าหมายความตั้งใจเดิมของพวกเธอแล้ว
คิดถึงตรงจุดนี้ สามเยว่ก็พูดขึ้นว่า “เธอสามารถติดต่อกับเขาได้ไหม? ”
ฉินเหมยพยักหน้า และพูดว่า “ติดต่อได้”
เธอมียันต์สื่อสารของหลินหยุน แต่ว่าตั้งแต่ที่หลินหยุนออกจากตระกูลฉินไปนั้น ยังไม่เคยที่จะติดต่อด้วยตนเองเลย
ครั้งที่แล้ว ก็ติดต่อผ่านไปทางซิงเฟย
“สำนักเทียนหยุนของนายคิดจะทำอะไร ฉันมองไม่ออกอย่างนั้นเหรอ? ”
“แต่ ไม่ว่าสำนักเทียนหยุนของนายกับหลินชางฉองจะมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน ต่างก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักหยุนเยว่ของเราทั้งนั้น! ”
“ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินกับสำนักหยุนเยว่ของเรา คนอื่นไม่รับรู้ แต่นายที่เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทียนหยุนจะไม่รับรู้รับทราบอย่างนั้นเหรอ? ”
“ตอนนี้กลับมาทำเป็นพูดกับฉันว่า ไม่อยากที่จะมีความบาดหมางกับสำนักหยุนเยว่ของเรา”
“นายว่าคำพูดไร้สาระของนายนี้ ฉันจะเชื่อไหมล่ะ? ”
“ยังยืนยันคำเดิม หากนายมีความสามารถจริง ๆ ล่ะก็ เชิญยอดฝีมือสำนักของนายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดนั้นออกมาให้หมดเลย! “
“นายคิดว่าฉันเกรงกลัวนักหรืออย่างไร? ”
ได้ยินที่สามเยว่พูด ยอดฝีมือในเมืองมี่หยุนทั้งหมด ต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปทันที
โดยทยอยใช้จิตญาณ สำรวจตรวจสอบกันอย่างเต็มที่
แต่กลับไม่พบเจอผู้บำเพ็ญเซียนอะไรเลยแม้แต่น้อย
และในเวลานี้เอง หลินหยุนก็สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน และหยุดฝีเท้าลง
แต่ว่าเขากลับไม่ได้ใช้จิตญาณไปสำรวจอะไร
เมื่อใช้จิตญาณขึ้น ย่อมดึงดูดความสนใจอย่างแน่นอน
บนท้องฟ้า ผู้อาวุโสใหญ่ได้ส่งเสียงฮึที่เย็นชาอย่างหนักแน่น
ทันใดนั้น ก็ทำลายจิตญาณที่กำลังสำรวจลงทั้งหมด
ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังบำเพ็ญไม่สูงนัก ที่ใช้จิตญาณทำการสำรวจนั้น ถึงกับกระอักเลือดออกมา
ผู้อาวุโสใหญ่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “สหายสามเยว่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็อย่าได้กล่าวโทษว่าฉันไม่ไว้หน้าให้เกียรติกันเลย! ”
เมื่อพูดจบ ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น ได้ยืดยาวลงมาจากท้องฟ้า และพุ่งตรงเข้าไปจับตัวคนภายในตระกูลฉิน
สามเยว่ตวาดขึ้นอย่างโมโห “จางหลิงซู นายช่างกล้านัก! ”
ขณะที่พูด ก็ได้ทิ่มแทงกระบี่ออกไป ทำลายฝ่ามือยักษ์ที่มองไม่เห็นนั้นลงไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...