จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 451

สรุปบท บทที่ 451 สิ่งล้ำค่าท่ามกลางซากปรักหักพัง: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

สรุปตอน บทที่ 451 สิ่งล้ำค่าท่ามกลางซากปรักหักพัง – จากเรื่อง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่

ตอน บทที่ 451 สิ่งล้ำค่าท่ามกลางซากปรักหักพัง ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดยนักเขียน จูผาซู่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนกลับมายังด้านหน้าของตำหนักสี่เหลี่ยมอีกครั้ง

โดยครั้งนี้ ทุกคนต่างก็ได้ตั้งชื่อเรียกขานใหม่ขึ้น ให้กับตำหนักแห่งนี้

วังเทพจันทรา

ผู้อาวุโสเก้ามองไปที่หลินหยุน และพูดขึ้นว่า: “เพื่อนเต๋าหลินหยุน ทำลายค่ายกลเถอะ! ”

โล่เสว่ฉีกับหยางเฟยเย่นทั้งสองคนมองไปที่หลินหยุนพร้อมกัน โดยที่มีความประหลาดใจอยู่บ้าง ซึ่งการที่ผู้อาวุโสเก้าเรียกเขาว่าเพื่อนเต๋านั้น นั่นแสดงว่าสถานะของหลินหยุนในใจของผู้อาวุโสเก้า ได้ยกระดับสูงขึ้นเทียบเท่ากับตัวเขาเองแล้ว

หลินหยุนถามขึ้นว่า: “คำมั่นสัญญาที่สำนักอู๋จี๋ยังคงมีผลเหมือนเดิมอยู่ไหม? ”

ผู้อาวุโสเก้าพูดว่า: “ยังคงมีผลเหมือนเดิมแน่นอน เพียงแค่นายสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ สิ่งของด้านในนี้นายสามารถที่จะเลือกได้สามอย่างตามความต้องการก่อนได้เลย! ”

“ตกลง! ”

หลินหยุนเดินขึ้นมาด้านหน้า ยื่นมือออกมาแล้วก็ปล่อยพลังทิพย์ โดยประตูของตำหนักสี่เหลี่ยมทันใดนั้น ก็ได้เปิดขึ้นทั้งหมด

“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน! ”

“ใช่เลย ทำไมประตูบานนี้ถึงได้เปิดขึ้นอย่างอัตโนมัติล่ะ? ”

ทุกคนอุทานขึ้นเป็นระยะ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

เย่สวนฉีมีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง: “เขาได้ทำลายค่ายกลลงได้แล้วจริง ๆ เหรอ! ”

“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน! ”

คิดถึงที่ว่าตนเองได้วางเดิมพันไว้กับหลินหยุน หน้าตาอันแก่ชราของเย่สวนฉีก็ได้ร้อนผ่าวขึ้น

หากว่าพ่ายแพ้แล้ว นั่นจะต้องคารวะทำความเคารพหลินหยุนเป็นอาจารย์เลยทีเดียว!

ถ้าอย่างนั้นคงจะอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก ต่อไปจะมีหน้าดำเนินชีวิตอยู่ในยุทธจักรได้อย่างไรกัน!

ที่จริงแล้วเหตุผลง่ายดายอย่างมาก ค่ายกลนิรันดร์กาลเป็นเพียงแค่ค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ หากคิดที่จะทำลายค่ายกลนี้ จะต้องจัดวางค่ายกลนิรันดร์กาลให้สำเร็จเสียก่อน

แต่ว่าเมื่อหลังจากที่จัดวางค่ายกลนิรันดร์กาลสำเร็จแล้ว พลังที่ใช้ปกป้องคุ้มครองค่ายกลนั้นก็จะเคลื่อนตัวออกจากภายในสู่ภายนอก ก็หมายความว่าได้ทำลายค่ายกลที่ปกป้องคุ้มครองวังเทพจันทราได้แล้วนั่นเอง

จากนั้นก็ปล่อยพลังทิพย์ในระดับเดียวกันออกมา ค่ายกลนิรันดร์กาลก็จะยอมรับในสถานะของคนผู้นี้ โดยที่คนผู้นี้ก็จะครอบครองสิทธิเฉพาะในการเข้าสู่ศูนย์กลางสำคัญของค่ายกล

หลินหยุนไม่ได้อธิบายใด ๆ และก็ไม่ได้ให้ความสนใจต่อเย่สวนฉีที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด โดยได้เดินผ่านเข้าไปด้านในอย่างไม่สะทกสะท้าน

ขณะที่อยู่ห่างจากตำหนักประมาณสิบกว่าเมตรนั้น หลินหยุนก็ได้กลิ่นไหม้เกรียมที่ฉุนเป็นอย่างมาก

หลี่อู๋จี๋ไม่พูดไม่จา รีบเดินตามติดไปทันที

ผู้อาวุโสเก้ากับผู้อาวุโสสามและคนอื่น ๆ ก็สบตาส่งสัญญาณซึ่งกันและกัน แล้วก็ค่อย ๆ เดินตามกันเข้าไป

ส่วนคนอื่น ๆ ที่เห็นดังนั้น ก็ได้รีบเดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน

ซูจื่อเหลียงส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา และก็เดินติดตามอยู่ด้านหลังของทุกคน โดยที่จับจ้องสังเกตการเคลื่อนไหวของทุกคนอยู่ตลอดเวลา

โล่เสว่ฉีกับหยางเฟยเย่น กลับกลายเป็นอยู่ด้านหลังสุด ทั้งสองคนได้สบตาซึ่งกันละกัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชอบหน้าของฝ่ายตรงข้าม จึงไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ และรั้งท้ายเข้าสู่ภายในของตำหนัก

โดยคนสุดท้าย ก็คือปรมาจารย์เย่เย่สวนฉี

เดิมทีคิดว่าหลังจากที่หลินหยุนได้ทำลายค่ายกลลงแล้ว ก็จะมาดูถูกเหยียดหยามเขาในทันที พร้อมกับบีบบังคับให้เขาทำตามการวางเดิมพันที่ให้ไว้ โดยที่ใครจะรู้ว่าหลินหยุนเองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักนิด เหมือนกับว่าเขาได้หลงลืมเรื่องนี้ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

เย่สวนฉีอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดขึ้นว่า: “ข้าคิดว่าเขาไม่คู่ควรที่จะมาเป็นคู่ต่อกรของข้าได้ จนถึงตอนนี้ข้าถึงเข้าใจได้ว่า เดิมทีเขานั้นไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย”

เย่สวนฉียิ้มอย่างขมขื่นด้วยสีหน้าท่าทางที่เศร้าซึม แล้วก็หันหลังเดินจากไป โดยแม้แต่ความคิดที่จะเข้าไปยังภายในของตำหนักเพื่อสำรวจค้นหาก็ไม่มีแล้ว

สภาพภายในตำหนัก ค่อนข้างย่ำแย่มากทีเดียว

จะบรรยายอย่างไรดี?

ซากปรักหักพัง เป็นเพียงซากปรักหักพังทั้งแถบ

วังเทพจันทราอะไรที่ไหนกัน อะไรที่ว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของเซียนป้ายเยว่ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย เป็นเพียงแค่ซากปรักหักพังทั้งแถบ

ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างก็ถูกไฟเผาไหม้จนกลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว

ไม่มีสิ่งของอะไรที่หลงเหลืออยู่เลย

ทุกคนต่างยืนกันอยู่ที่ประตูของตำหนัก แล้วมองมายังสภาพที่เป็นอยู่นี้ พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน? ”

ผู้อาวุโสเก้าก็มีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง โดยพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่จนสามารถทำลายเปิดค่ายกลได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้

“เคยมีคนได้เข้ามาก่อนหน้านี้หรือไม่? แล้วหลังจากที่ได้นำสิ่งของในที่แห่งนี้ออกไปหมดแล้ว ก็ได้ทำการจุดไฟเผาตำหนักแห่งนี้? ” หลี่อู๋จี๋ถามขึ้นด้วยความสงสัย

หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ไม่ใช่”

ในตำหนักมีห้องอยู่จำนวนมาก แต่ว่า ฝากั้นช่วงกลางระหว่างห้องก็ได้ถูกฟ้าผ่าทัณฑ์เผาไหม้จนกลายเป็นผุยผงไปหมด แต่ก็ยังคงพอที่จะมองออกว่าเป็นโครงสร้างลักษณะของห้อง

ภายในห้องหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง หลินหยุนมองเห็นเศษกระดูก ที่สามารถต่อเรียงกันจนกลายเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์

หลินหยุนสามารถวินิจฉัยออกได้ว่าผู้ตายนั้นเป็นผู้ชาย คาดว่าคงจะเป็นเซียนป้ายเยว่

โดยที่เปลวไฟไม่ได้เผาไหม้โครงกระดูกจนกลายเป็นผุยผง แสดงว่าเซียนป้ายเยว่อย่างน้อยที่สุดก็คงอยู่ในระดับขั้นแดนยาทอง

มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนระดับขั้นแดนยาทองเท่านั้น ที่โครงกระดูกโดนทัณฑ์ฟ้าผ่าเสมือนเป็นการล้างบาป จึงทำให้มีความแข็งแกร่งทนทาน เทียบได้กับเครื่องรางชั้นสูง

หากยึดตามการคาดเดาของหลินหยุนแล้ว ในปีนั้นเซียนป้ายเยว่น่าจะกำลังข้ามผ่านทัณฑ์เข้าสู่ขั้นแดนยาทอง แต่ฟ้าผ่าทัณฑ์กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน โชคร้ายจนถึงกับเสียชีวิต ถึงขนาดที่แม้แต่วังเทพจันทราก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นผุยผงไปทั้งหมด

ตามที่มนุษย์บนโลกเรียกขานเซียนป้ายเยว่นั้น ก็คือเทพเซียนชั้นดินชั้นสูง ถ้าอย่างนั้นเทพเซียนชั้นดินนี้ ก็คงจะเป็นการเรียกขานของผู้บำเพ็ญระดับขั้นแดนยาทอง

และเมื่อถึงระดับขั้นแดนจิตปฐม นั่นก็คือขั้นเทพเซียนชั้นฟ้าแล้ว

แดนดั่งเทพยิ่งสามารถแปลงกายได้นับหมื่นนับพันรูปแบบ เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถเดินทางไปทั่วทั้งจีนได้แล้ว และร่างกายก็สามารถทะลุข้ามจักรวาลและดวงดาวได้

ดังนั้นที่ได้รับการเรียกขานว่าเทพเซียนชั้นดิน ก็เพื่อเชื่อมผนึกสภาพแวดล้อมของโลกในตอนนั้น โดยที่พลังความสามารถของเซียนป้ายเยว่ คงน่าจะอยู่ในระดับขั้นแดนยาทอง

หลินหยุนสังเกตตรวจสอบดูอีกครั้ง เขาพบว่าบริเวณโครงกระดูกของเซียนป้ายเยว่ มีกระดูกส่วนหนึ่งที่ปูดนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

หลินหยุนยื่นมือปล่อยพลัง กระดูกชิ้นส่วนนั้นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของหลินหยุนอย่างอัตโนมัติ

นี่มันไม่ใช่กระดูก แต่มันเป็นกระบี่หยกที่ยาวกว่าเจ็ดนิ้ว

ได้สัมผัสกับกลิ่นอายอย่างรุนแรงจากตัวของกระบี่ หลินหยุนชี้ชัดได้ว่า นี่คงจะเป็นกระบี่เมนหลัก เล่มหนึ่งของเซียนกระบี่อย่างแน่นอน

กระบี่เมนหลักก็คือชีวิตของเซียนกระบี่ ถ้าหากกระบี่เมนหลักสูญหายไป เป็นไปได้เกินกว่าครึ่งที่ว่าเซียนกระบี่คงจะเสียชีวิตแล้ว ส่วนกระบี่เมนหลักก็คงจะหลายสาบสูญ

ถ้าหนังไม่คงอยู่ ไฉนเลยขนจะเกาะติดเล่า? ก็คือเหตุผลตามนี้

มีเพียงผู้แข็งแกร่งมีความสามารถขั้นสูงสุดจำนวนน้อย ที่หลังจากเสียชีวิตไปแล้วกระบี่เมนหลักก็ยังคงดำรงอยู่ หรือว่าผ่านการใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง เพื่อช่วงชิงกระบี่เมนหลักที่เพิ่งบำเพ็ญฝึกฝนสำเร็จใหม่ ๆ

พลังทิพย์ด้านในของกระบี่เมนหลักเล่มนี้ อ่อนแรงเป็นอย่างมากแล้ว

บางทีอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน พลังทิพย์จึงเบาบางลงจนหมดสิ้น

แต่ว่า สำหรับหลินหยุนในตอนนี้แล้ว ไม่ว่าเครื่องรางอะไร ต่อให้เป็นเพียงแค่หยกชิ้นหนึ่ง ต่างก็เป็นสิ่งของที่ล้ำค่าหายาก

“โอ้โห นั่นคืออะไร? ” ทันใดนั้น ผู้อาวุโสท่านหนึ่งได้อุทานขึ้น แล้วก็เดินตรงเข้าไปยังท่ามกลางซากปรักหักพัง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์