หลินหยุนเดินตามฉินโส่วและคนอื่นๆ เข้าไปในงาน
จางซือจู่และคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนที่ไม่เคยได้พบปะกับสังคมภายนอกมากนัก ทันทีที่เข้ามาใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ว้าว เป็นงานเลี้ยงที่โคตรใหญ่!”
“คนโคตรเยอะ!”
“พวกนายดูสิ นั่นเหลียงเทียนฉีดารานำชายคนดังไม่ใช่หรอ ?”
“นั่นคือนักแสดงที่ฉันชอบมากที่สุดเลย หูเกอ!” ไอ้หินพูดด้วยท่าทางปลาบปลื้มใจ
“แล้วก็เทพธิดาของฉัน หลิวอี้เฟย” หยางเทียนโย่วพูดออกมาด้วยสีหน้าที่หลงใหล
พนักงานสวมชุดยูนิฟอร์มคนหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมพูดกับพวกเขาอย่างนอบน้อม : “ทุกท่านครับ หอประชุมอยู่ทางนั้นนะครับ!”
“ครับๆ ขอบคุณครับ!” จางซือจู่ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไปกันเถอะ พวกเราไปหาที่นั่นกันก่อนดีกว่า!” ฉินโส่วเคยได้ร่วมงานแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง เลยมีความสงบเรียบร้อยกว่าคนอื่นๆ
“ได้ ได้!”
หลินหยุนอยากจะไปนั่งแถวด้านหลัง แต่จางซือจู่กับคนอื่นๆ ดันอยากนั่งแถวข้างหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่าแถวหน้าจะได้เห็นอย่างชัดเจน
หลินหยุนจึงได้เพียงตามจางซือจู่และคนอื่นๆ ไปเท่านั้น เมื่อมายังบริเวณที่นั่งหน้าเวทีพวกเขาก็นั่งลง
นั่งยังไม่ทันถึงสองนาที จางซือจู่ที่ตวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อดูดาราที่เขาชื่นชอบ อยู่ๆ ก็ร้องตกใจออกมา : “หลินหยุน รีบดูสิ อีหลิง !”
หลินหยุนมองไปยังทิศทางที่นิ้วของจางซือจู่ชี้ไป ตรงบริเวณพรมแดงที่ปูจากทางเข้าประตูมายังเวที มีอีหลิงที่สวยสง่าอ่อนโยน สวมด้วยชุดสีขาวเรียบ พร้อมผมดำยาวสลวยพาดบ่า กำลังเดินตามหลังนักแสดงสาวคนหนึ่งเข้ามา
“นั่นโจวเวยนี่หน่า อีหลิงมากับเธอได้ไงกัน” จางซือจู่พูดอย่างสงสัย
โจวเวย หลินหยุนรู้จักคนคนนี้ อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ เธอจะกลายเป็นดาราชั้นนำคนหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงแรกเริ่มในการแสดงความสามารถ ซึ่งเทียบเท่ากับนักแสดงระดับสองเท่านั้น
“ฉันจะไปเรียกอีหลิงมาแล้วกัน” จางซือจู่ออกอาสา แล้วลุกขึ้นยืนวิ่งเข้าไปหาอีหลิง
แล้วจู่ๆ ฉินโส่วก็พูดขึ้น: “ดูทางนั้นสิ พวกเถียนชุ่ยชุ่ยกับจางเหมิง !”
หลินหยุนมองไปยังด้านหลังของชายกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเถียนชุ่ยชุ่ยกับจางเหมิงกำลังเดินตามหลังชายวัยกลางคนคนนั้นเข้ามา
ชายวัยกลางคนคนนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคุณพ่อของจางเหมิง
หลินหยุนหันไปเหลียวมองเพียงครู่เดียว ก็ไม่ได้สนใจอีกเลย พวกคนอย่างเถียนชุ่ยชุ่ย ไม่ใช่คนในโลกเดียวกับเขาอีกต่อไปแล้ว
ทางด้านจางซือจู่ที่เดินไปหน้าพรมแดง ก็โบกมือให้กับอีหลิงทันที
อีหลิงที่มองเห็นเขา ก็แสดงท่าที่ประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน จากนั้นเธอหันหน้าไปพูดบางอย่างกับโจวเวย ก่อนที่จะเดินตามจางซือจู่มาด้วยกัน
อีหลิงถึงแม้จะไม่ใช่ดารา แค่เพราะเป็นคนที่สวย มีออร่าแผ่ประกาย ดังนั้นไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มักจะดึงดูดสายตาผู้คนให้เหลียวมองตลอด
เมื่อได้เห็นว่าอีหลิงเดินตามจางซือจู่มายังฝั่งหลินหยุนและคนอื่นๆ ในแววตาของผู้ชายเหล่านั้นก็มีความอิจฉาประกายออกมา
ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นอีหลิงกล่าวทักทายหลินหยุนอย่างสนิทสนม ก็ยิ่งทำให้หลายๆ คนอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงความสัมพันธ์ของเธอกับหลินหยุนเลย
“หลินหยุน นายก็มาด้วยงั้นหรอ !” ใบหน้าสะสวยของอีหลิงแดงระเรื่อขึ้นมา ดูแล้วไร้เดียงสาน่าเอ็นดูมากๆ
“อืม” หลินหยุนตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
อีหลิงนั่งลงยังที่นั่งข้างๆ หลินหยุน ดวงตาคู่สวยนั้นจ้องมองไปยังหลินหยุนอย่างไม่ลดละ ทำเอาจางซือจู่และคนอื่นถึงกับอิจฉาไม่น้อย
“หลินหยุน นายไม่ไปโรงเรียนเลยหรอ ?” อีหลิงถาม
“อืม พอดีมีธุระหน่ะ ก็เลยลาไปหลายวัน” หลินหยุนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
แต่จางซือจู่กลับบ่นออกมา: “อันนั้นนายเรียกว่าหลายวันงั้นหรอ?เห็นๆ อยู่ว่าหลายเดือนต่างหาก โอเค๊!”
ฉินโส่วถึงกับต้องถลึงตาใส่เขา แล้วกดเสียงต่ำพูดออกมา : “ไม่พูดก็ไม่มีใครมองว่านายเป็นใบ้หรอกนะ!”
จางซือจู่ที่ได้ยินอย่างนั้นเลยต้องหุบปากแต่โดยดี
โดยในกลุ่มผู้ชายที่รู้สึกเบื่อก็จะนิยมเอาเหล่าดาวโรงเรียนของทั้งสองสถาบันมาจัดอันดับกันเป็นว่าเล่น
อู่ซื่อหานคนนี้เป็นดาวสถาบันของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หวู่หยาง แต่กลับถูกอีหลิงกดทับเอาไว้
ซึ่งการกดทับครั้งนี้ ก็นับเป็นเวลาถึงสองปีเต็มเลยทีเดียว
ดังนั้นอู่ซื่อหานเลยอยากจะก้าวข้ามอีหลิงมาโดยตลอด แล้วจะได้กลับไปกดอีหลิงให้จมดิน ถึงขนาดที่มองอีหลิงเป็นศัตรูอันดับต้นๆ ของตัวเอง
แล้วเรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้ พวกผู้ชายอย่างจางซือจู่นั้นก็ต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดี แม้แต่หลินหยุนเองก็ได้รับอิทธิพลจากข่าวพวกนี้เหมือนกัน ถึงแม้จะบอกว่าหลินหยุนเป็นคนที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรแบบนี้ แต่เขาก็ได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อยๆ จนสามารถอธิบายได้เหมือนกัน
จู่ๆ จางซือจู่ก็หันหน้าไปพูดกับอีหลิง : “เธอดูอู่ซื่อหานคนนี้สิ คงคิดจะยืมอิทธิพลจากจ้าวจื่อฉี เพื่อมากดทับเธอในวงการแน่นอน”
“แต่ก็ดี เธอก็สามารถไปกระชับมิตรกับรุ่นพี่หลินได้เหมือนกัน อย่าปล่อยให้อู่ซื่อหานดูถูกสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจวของพวกเราเด็ดขาด”
อีหลิงตอบกลับอย่างลำบากใจ: “แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง?ฉันไม่ค่อยชำนาญเรื่องเอาอกเอาใจแบบนี้”
จางซือจู่แย้ง: “ไม่มีใครเอาอกเอาใจคนได้มาตั้งแต่เกิดหรอกนะ มันก็เสแสร้งบังคับตัวเองออกมาทั้งนั้น !รีบไปเถอะ มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ก็มีหนทางเพิ่มขึ้นมาอีก รุ่นพี่ไม่ช่วยรุ่นน้องตัวเอง แล้วจะไปช่วยคนของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หวู่หยางหรือไง !”
อีหลิงยังคงไม่ค่อยเต็มใจ แต่จางซือจู่ก็คอยกระตุ้นไม่หยุดอยู่ข้างๆ : “มาแล้ว ๆ รีบไปสิ !ถึงแม้จะแค่ทักทายก็ยังดี อย่าให้รุ่นพี่บอกว่าพวกเราไม่มีสัมมาคารวะ ที่เจอหน้าแล้วไม่ทักทายสักคำ”
อีหลิงถึงกับไม่สามารถโต้แย้งกับจางซือจู่ แต่เมื่อลองคิดดูแล้วคำพูดของจางซือจู่ก็ฟังมีเหตุผล รุ่นน้องได้เจอกับรุ่นพี่ หากไม่กล่าวทักทายเลยก็คงจะดูหยาบคายเกินไป
ในขณะนั้นเองหลินเสี่ยวลู่กับจ้าวจื่อฉีและคนอื่นๆ ก็นั่งลงยังบริเวณแถวข้างหน้าของพวกเขาด้วยความหงุดหงิด
อีหลิงลุกขึ้นยืน พร้อมกับก้มหัวต่ำโน้มคำนับด้วยความเคารพ ก่อนจะทักทายอย่างอ่อนโยน : “รุ่นพี่หลินสวัสดีค่ะ!”
หลินเสี่ยวลู่ที่กำลังโมโหอยู่ หันหลังไปมองอีหลิง สายตาของเธอแสดงความตกใจออกมา
ซึ่งแน่นอนว่า ความสวยของอีหลิงทำให้เธอรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
หลินเสี่ยวลู่ถามด้วยเสียงเฉยเมย: “เธอเป็นใคร?ทำไมถึงเรียกฉันว่ารุ่นพี่!”
อีหลิงตอบ: “ฉันเป็นนักเรียนของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจวค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ข่าวมาว่ารุ่นพี่หลินได้เป็นถึงดาราระดับสามแล้ว พวกเรารุ่นน้องต่างก็รู้สึกชื่นชมอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดีได้เจอกับรุ่นพี่หลินด้วย ฉันรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...