ซูจื่อเหลียงสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ที่ส่งบัตรเชิญให้กับพวกคุณ ก็เพียงแค่ต้องการให้พวกคุณมาเป็นสักขีพยาน ในการก่อตั้งขึ้นของชางฉองกรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่! ”
“เพื่อให้พวกคุณรู้และเข้าใจว่า แม้ว่าผู้สนับสนุนเบื้องหลังของพวกคุณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เมื่อ เปรียบเทียบกับชางฉองกรุ๊ปแล้ว ก็ยังคงห่างชั้นกันมาก! ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไป๋จ่านถังก็พลันหัวเราะเยาะเย้ยขึ้น โดยหลงลืมแม้แต่ความหวาดกลัวต่อผู้เป็น
นักบู๊ไปหมดแล้ว
“เหอะเหอะ คุณช่างกล้าพูดออกมาอย่างไร้ยางเลยเสียจริง คุณทราบไหมว่าผู้สนับสนุนเบื้องหลัง
ของพวกเรานั้นคือใคร? ถึงได้กล้าที่จะพูดออกมาอย่างหลงระเริงแบบนี้! ”
ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็พากันหัวเราะเยาะเย้ย และมองไปที่ซูจื่อเหลียงอย่างเหยียดหยาม
ไป๋จ่านถังพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “แม้ว่าคุณจะเป็นนักบู๊ มีกำลังความสามารถที่แข็งแรง แต่ว่า ถ้าหากคุณคิดที่จะใช้กำลังวิชาบู๊มาสร้างความวุ่นวายบนโลกมนุษย์ในจีนแล้ว เกรงว่าทางการจีน
คงจะไม่ยอมปล่อยคุณไปได้ง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด! ”
“คุณ รวมถึงสำนักของคุณ ต่างก็จะต้องพบกับการทำลายกวาดล้างอย่างถึงที่สุด! ”
ซูจื่อเหลียงเงยหน้าขึ้น และพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่หยิ่งยโส: “ฉันจะไม่ใช้กำลังวิชาบู๊ เพราะพวกคุณยังไม่คู่ควรที่ฉันจะทำแบบนั้นด้วย! ”
“ฉันจะใช้วิธีการทั่วไปของโลกมนุษย์ เพื่อให้พวกคุณได้ประจักษ์และเป็นสักขีพยานกับการ
เกิดขึ้นของชางฉองกรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่! ”
ได้ยินว่าซูจื่อเหลียงจะไม่ใช้กำลังวิชาบู๊ ทุกคนต่างก็วางใจลงไปไม่น้อย ความกล้าหาญก็เพิ่มขึ้น
อีกมาก
ไป๋จ่านถังยิ้มเยาะและพูดว่า: “ถ้าหากคุณไม่ใช้กำลังวิชาบู๊ ฉันก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่า ชางฉองกรุ๊ป
ของคุณจะยังมีดีอะไรอีก? ”
“หรือว่า จะอาศัยแค่พวกโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่คุณจ่ายเงินไปนั้นเหรอ? ก็ใช่อยู่ว่า แบบนี้จะ
ทำให้ชางฉองกรุ๊ปกลายเป็นที่รู้จักกันไปอย่างแพร่หลาย แต่นั่นก็จะเป็นเพียงแค่ตัวตลกที่ทุกคนเขา
พูดถึงกันก็เท่านั้น! ”
“แล้วจะมีความยิ่งใหญ่ตามที่พูดได้อย่างไรกันล่ะ? ” ไป๋จ่านถังทำท่าทางผายมือออกมา และ
ยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม
“ฮ่าฮ่า......คุยโวโอ้อวดใครก็ทำได้ คาดว่าธุรกิจในอนาคตของชางฉองกรุ๊ป คงจะเป็นการคุยโว
โอ้อวดล่ะสิ! ”
“ถูกต้อง บริษัทแบบนี้ยิ่งใหญ่มากเลยจริง ๆ ก็เก่งแต่แค่คุยโวโอ้อวดเท่านั้น! ”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยกันยกใหญ่
ซูจื่อเหลียงยิ้มอย่างเย็นชา แล้วก็พลันปรบมือให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง
พิธีกรสาวที่ถูกขับไล่ไปก่อนหน้านี้ ก็ได้เดินออกมาอีกครั้ง
“เชิญคุณทำการประกาศว่า พิธีเปิดกิจการของชางฉองกรุ๊ป ตอนนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็น
ทางการ”
พิธีกรสาวพยักหน้าอย่างเคารพ โดยยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าของซูจื่อเหลียง และขยับเสื้อผ้าบริเวณ
หน้าอก พร้อมกับมองไปที่ซูจื่อเหลียง ด้วยสายตาที่เย้ายวน
แต่น่าเสียดายที่ ซูจื่อเหลียงไม่ได้หันมองไปที่เธอเลยแม้แต่น้อย โดยได้หันหลังเดินไปยังด้านข้าง แล้วก็มองไปที่ทุกคนในสถานที่จัดงานอย่างสงบนิ่ง
ครั้งนี้ ไม่มีใครที่จะกล้าขับไล่พิธีกรสาวออกไปอีก
ทุกคนต่างก็รอฟังอย่างสงบเงียบ ดูสิว่าชางฉองกรุ๊ปจะเล่นลูกไม้ไหนกันแน่
ไป๋จ่านถังกระซิบพูดอย่างเย็นชาว่า: “ชางฉองกรุ๊ปมีความสามารถที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่จะกดดัน เหนือกว่าตระกูลหวางผู้นำของวงศ์ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ได้ ฮึ ช่างเป็นการเพ้อฝันไปอย่างสิ้นเชิง! ”
“ถ้าหากเป็นการใช้กำลัง บางทีฉันอาจจะเชื่อในคำพูดของนายได้ แต่นายกลับพูดเองว่าจะไม่ใช้ กำลัง อย่างนั้นฉันเองก็อยากที่จะรู้ว่า นายจะไปเอาอิทธิพลอำนาจมาจากที่ไหนถึงสามารถที่จะ
กดดันเหนือกว่าตระกูลหวางได้! ”
“พี่ไป๋ คุณเชื่อจริง ๆ งั้นเหรอ ฉันคิดว่าไอ้แก่คนนี้ คงจะฝึกฝนวิชาบู๊จนบ้าไปแล้วเป็นแน่! บนโลก
ใบนี้จะมีอิทธิพลอำนาจใดที่เหนือกว่าตระกูลหวางไปได้ล่ะ! ”
“วงศ์ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลก่อตั้งขึ้นมาในจีนนับเป็นพันปีแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่ได้ โดยที่ ลำพังแค่นักบู๊อย่างเขาที่ไม่รู้ว่าผุดออกมาจากที่ไหน จะสามารถมาแทนที่ตระกูลหวางได้อย่างไร
กัน! ”
“พูดได้ถูกต้อง ฉันเองก็ไม่เชื่อ ฉันคิดว่าเขาก็เพียงแค่พูดเอาอกเอาใจทุกคนก็เท่านั้น”
“จะจริงหรือว่าไม่จริง รอดูกันต่อไปก็รู้แล้ว” ไป๋จ่านถังพูดขึ้นพลางยิ้มเยาะ
ครั้งนี้ถือว่าพิธีกรสาวมีประสบการณ์แล้ว โดยไม่ได้พูดจาอะไรพร่ำเพรื่ออีก เอ่ยปากขึ้นก็พูดเข้า
ประเด็นทันที
“ขอเชิญ ผู้มีอิทธิพลอำนาจที่เข้าร่วมกับชางฉองกรุ๊ปทุกท่านออกมาได้! ”
“คนแรก ผู้มีอิทธิพลอำนาจแห่งชิงหยาง ฟางเยว่! ”
ฟางเยว่ในชุดสูทสีขาว รูปร่างอ้วนท้วม เดินออกมาจากด้านหลังเวที พร้อมกับรอยยิ้มและท่าทาง
ที่อบอุ่นเป็นมิตร
“ทุกท่าน ฉันคือฟางเยว่แห่งชิงหยาง ฉันจะนำบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปภายใต้การดูแลของฉัน เข้าร่วมกับ
ชางฉองกรุ๊ป โดยนับจากนี้ต่อไปจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชางฉองกรุ๊ป! ”
ชื่อเสียงของฟางเยว่ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักมากนัก เพราะว่าเป็นเพียงแค่ผู้มีอิทธิพลอำนาจของเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ากับผู้ที่มาร่วมงานใน
วันนี้แล้ว ยังถือว่าจิ๊บจ๊อยเป็นอย่างมาก
แต่ ก็ยังมีคนที่รู้จักและจดจำฟางเยว่ได้
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางแห่งหลิงหนาน! ”
“ไอ้อ้วนฟางก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลความสามารถคนหนึ่ง ชางฉองกรุ๊ปสามารถดึงตัวเขามาได้ ก็ถือว่ามีความสามารถที่ไม่เลว”
พ่อลูกตระกูลเหยียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที อิทธิพลความสามารถของพวกเขา ยังเทียบไม่ได้กับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...