ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเขตชานเมืองของเมืองหลวง มีภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่าเขาจื่อจิง
กล่าวกันว่า เขาจื่อจิงเมื่อหลายปีก่อน เป็นเมืองจักรพรรดิที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อราชวงศ์
ต่อมาภายหลัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ราชวงศ์นั้นได้ตกต่ำลง เมืองจักรพรรดิจึงได้หายไปตามการตกต่ำของราชวงศ์
จากนั้น เขาจื่อจิงได้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เพราะเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน ปกติจึงไม่ค่อยมีคนมาที่นี่
สถานที่ที่เจียงร่อโจ๋เลือกเป็นสนามรบ ก็คือยอดเขาจื่อจิงนั่นเอง
ศึกชี้ขาดครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ปล่อยข่าวออกไป แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายให้ความสนใจมารับชมศึกครั้งนี้ที่ยอดเขาจื่อจิง
มีคนของสี่มหาตระกูล และทหารระดับสูงจากกองทัพ รวมถึงตระกูลที่สนิทสนมกับตระกูลหง
กลับกัน ทางด้านของหลินหยุน นอกจากเขาและฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียม ก็มีหงซานเหอที่ถือว่ายืนอยู่ฝ่ายเขาครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้ เป็นเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ซีกหนึ่งของยอดเขาถูกแสงอาทิตย์สะท้อนแสงสีทองอร่าม
เขาจื่อจิงไม่ค่อยสูงจากระดับน้ำทะเลสักเท่าไหร่ บนยอดเขา มีพื้นที่ค่อนข้างราบอยู่ส่วนหนึ่ง สามารถมองเห็นพื้นดินได้ ก้อนหินจำนวนหนึ่ง มีสภาพเหมือนกับพื้นกระดาน
หงซิงกั๋วยืนอยู่ตรงกลางพื้นที่ราบตรงนั้น ด้านข้างมีกระถางธูปวางอยู่หนึ่งกระถาง ด้านในมีธูปจุดอยู่ด้วย เป็นการไหว้ภาพของหงเหวินหาวที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนบริเวณรอบ ๆ เป็นผู้คนที่มารับชมศึกครั้งนี้
ผู้นำตระกูลแห่งสี่มหาตระกูล ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน ตระกูลที่สนิทสนมกับตระกูลหงเหล่านั้น ก็ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน ส่วนคนในกองทัพก็รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม
และยังมีนักบู๊มากมายที่ได้ยินข่าวรีบมาดูเทพสงครามแสดงฝีมือ แต่ละคนได้กระจัดกระจายอยู่บริเวณรอบ ๆ
หงซานเหอพาลูกน้องมาด้วยสองคน คนหนึ่งยืนอยู่ในมุมเงียบ ๆ คนเดียว มองดูหงซิงกั๋วอยู่ห่าง ๆ
เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าพวกกับคนอื่น
สำหรับตัวหลักของศึกชี้ขาดในครั้งนี้ กลับยังไม่ปรากฏตัว
บรรดาลูกหลานของสี่มหาตระกูลบางคน เริ่มรอไม่ไหวแล้ว จนไปรอหลินหยุนที่ระหว่างทางขึ้นเขา
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีหวางเซิ่งเฉียน หวางเจ๋อ องค์หญิงจ้าวม่านหรู และยังมีเด็กอัจฉริยะของตระกูลจางและตระกูลหลิวด้วย
“ปรมาจารย์หลินคนนี้ได้ยินว่าเทพสงครามจะมาสู้ด้วยตัวเอง ยังจะกล้ามาสู้ด้วยอีกหรือเปล่า?” หนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย เหมือนดูถูกปรมาจารย์หลินอยู่บ้าง
“ป่านนี้แล้วยังไม่มา ใครจะไปรู้ล่ะ?” เด็กสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง แสยะยิ้มพลางพูดอย่างเหยียดหยาม เธอเป็นคนในตระกูลหวาง เป็นคนที่ต่อต้านหลินหยุนมาโดยตลอด
ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเหล่านี้เท่านั้นที่เอ่ยถาม เหล่าทหารจากกองทัพก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่เช่นกัน
แม้กระทั่ง ผู้นำตระกูลแห่งสี่มหาตระกูลไม่กี่คนนั้น ก็สงสัยเช่นเดียวกัน
ยังไงซะ ก็มีเพียงตระกูลหวางเท่านั้นที่ค่อนข้างรู้จักหลินหยุนเป็นอย่างดี อีกสามตระกูลที่เหลือ รู้เรื่องราวของหลินหยุนจากข้อมูลจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของหลินหยุน
“พี่จิงหลง ตระกูลหงเชิญหลินหยุนมาอย่างเปิดเผยขนาดนี้ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือเปล่า?”
“ถ้าเกิดหลินหยุนกลัว แล้วไม่มาล่ะ ยิ่งถ้าไปหลบซ่อนตัวขึ้นมา หงซิงกั๋วจะไปตามหาเขาจากที่ไหน?” จางฉางเกิงถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
จ้าวโม่เย้นเอ่ยพูด : “พี่จางคิดรอบคอบจริง ๆ ผมเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
หวางจิงหลงเอ่ยพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง : “วางใจเถอะ จากที่ผมรู้จักไอ้หมอนั่น ด้วยความโอหังของเขา ต่อให้รู้ว่าด้านหน้าอันตรายมากแค่ไหน เขาก็ต้องมาอย่างแน่นอน”
“ถ้าหากไม่มา เขาก็ไม่ใช่ปรมาจารย์หลินแล้วล่ะ”
“ดูท่าทางพี่จิงหลงรู้จักปรมาจารย์หลินเป็นอย่างดีเลยนะ!” จางฉางเกิงประจบหวางจิงหลงอย่างเรียบง่าย
หวางจิงหลงเอ่ย : “ผมกับเขาเคยสู้กันมาหลายครั้ง จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องสืบหาข้อมูลของเขาเป็นอย่างดี”
“ไอ้หมอนี่ ไม่ว่าทำอะไร จะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา”
ไม่ต้องหันไปดู หลินหยุนก็รู้ว่าต้องเป็นองค์หญิงตระกูลจ้าว
“หลินหยุน ตอนนั้นนายไม่เชื่อคำพูดฉัน ดึงดันจะฆ่าหงเหวินหาวให้ได้ ตอนนี้ นายรอรับไฟแค้นของตระกูลหงได้เลย!” ใบหน้าสวยงามแต่เย็นชาของจ้าวม่านหรูเผยสีหน้าเยาะเย้ยออกมา
หลินหยุนเดินผ่านเธอไป ไม่แม้แต่จะหันมองเธอ เมินเฉยใส่เธอทันที
ทำให้จ้าวม่านหรูโมโหเป็นอย่างมาก ทั้งหน้าตาและสกุลรุนชาติของเธอ ผู้ชายคนไหนได้เห็นต่างก็ก้มหัวให้เธอทั้งนั้น แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก
คนที่กล้าเมินเฉยใส่เธอ มีเพียงแค่หลินหยุนเท่านั้น
“เหอะ แกต้องได้ชดใช้ในความโอหังของแก!” จ้าวม่านหรูพูดด้วยเสียงเย็นชา
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมปรายตามองเธอ เห็นหน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง จึงได้หัวเราะพลางเอ่ยพูด : “ช่วงนี้ฉันเพิ่งได้เรียนคำพูดหนึ่งจากชาวจีน”
จ้าวม่านหรูมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยพูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง : “คำพูดอะไร?”
“เธออยู่สวยมาก แต่ก็อย่าคิดเพ้อให้สวยหรูมากไป” ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมยิ้มเล็กน้อย แล้วรีบเดินตามหลินหยุนไป
“หลินหยุน ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งที่นายไม่ได้สนใจเธอเลย ทำไมเธอดูเหมือนโกรธมากอย่างนั้นล่ะ?” ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลินหยุนไม่ได้หันกลับไป เพียงแต่เอ่ยพูดอย่างนิ่งเฉยว่า : “ผู้หญิงที่ยิ่งคิดว่าตัวเองรูปร่างหน้าตาดี ก็ยิ่งรับไม่ได้ที่ถูกคนเมินเฉยใส่”
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนได้รับการสั่งสอน : “อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จ้าวม่านหรูก็ยิ่งโกรธจนหน้าซีด
ไม่นาน หลินหยุนได้พาฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมเดินมาถึงพื้นที่ราบตรงกลางยอดเขา
“ในที่สุดแกก็มาถึงสักที” หงซิงกั๋วมองไปที่หลินหยุน แววตาไม่มีความเคียดแค้น มีเพียงความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
หลินหยุนมองไปที่กระถางธูปที่วางอยู่ด้านข้างหงซิงกั๋ว และรูปภาพของหงเหวินหาว จากนั้นได้เอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ ว่า : “ถ้าหากแกยังหลงผิดคิดไม่ได้ต่อไป ไม่นานแกก็จะได้ไปเจอกับมัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...