จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 637

หลังการปะทะครั้งสุดท้าย ก่อนสติสัมปชัญญะจ้าวเทียนจะดับวูบลง เขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายตนเองถูกฉีกกระชากโดยขุมพลังมหาศาลจนแทบจะแตกออกเสี่ยงๆ

ทั้งตัวเขาและราชันเทพมารอเวจีถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมดำขนาดยักษ์ ซึ่งเกิดจากการพังทลายของกำแพงเอกภพและความบิดเบี้ยวของห้วงมิติเวลาอันเป็นอนันต์

‘ หืม…นี่ฉันอยู่ที่ไหน ’

เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ขณะพยายามกระตุ้นเคล็ดกายาอมตะเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จ้าวเทียนก็มองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความแปลกใจ เพราะตอนนี้เขากำลังลอยอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเทาซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควันสีแดงไร้จุดสิ้นสุด

ไร้ซึ่งกาลเวลา! ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์! ไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งชีวิต! สถานที่แห่งนี้ ราวกับเป็นดินแดนที่ตายไปแล้วไม่มีผิด

ทว่า พริบตาที่จ้าวเทียนคิดปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณกวาดออกไปเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ มันก็ได้ถูกผนึกโดยสนามพลังรูปโดมครึ่งวงกลมสีดำ พร้อมกับมีรังสีง้าวอันดุดันฉีกกระชากความว่างเปล่าฟาดฟันเข้าใส่ด้านหลังศีรษะเขาทันที

เปรี้ยงง!ๆๆๆๆ ตูมมม!

มองเห็นกระบี่ราชันสวรรค์และง้าวจักรพรรดิมารทมิฬปะทะกันอย่างถี่ยิบ ก่อนที่เงาร่างสองสายจะแยกออกจากกันไปยืนคุมเชิงอยู่คนละด้าน โดยที่ผลกระทบจากการต่อสู้ทั้งหมด ได้ถูกอำนาจของสนามพลังสีดำรูปครึ่งวงกลมสกัดกั้นไว้ไม่ให้หลุดออกไปสู่โลกภายนอก

“ หากเจ้าคิดจะรนหาที่ตาย ก็อย่ามาลากข้าไปด้วย ” ราชันเทพมารอเวจีพูดเสียงเย็นชา ขณะกำลังกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง ราวกับจะมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวโผล่ออกมาก็มิปาน

“ รนหาที่ตาย? งั้นแกก็รู้สินะ ว่าที่นี่คือที่ไหน ” จ้าวเทียนเข้าใจทันที ว่าอีกฝ่ายหมายถึงการที่เขาปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณก่อนหน้านี้

“ เหอะ…เป็นถึงผู้สืบทอดของซวนตี้เหยียน กระทั่งแดนมิคสัญญีเก้าหยินในห้วงมิติโกลาหลก็ยังไม่รู้จักงั้นรึ ”

ราชันเทพมารอเวจีแค่นเสียงอย่างดูถูก ทำให้จ้าวเทียนที่ได้ยินขมวดคิ้วขึ้นทันที เพราะเขารู้สึกเหมือนจะเคยได้ยินคำนี้มาก่อน ไม่ใช่จากความทรงจำในช่วงชีวิตของมหาเทพตี้เทียน แต่มันคือความทรงจำที่ได้รับถ่ายทอดมาจากจักรพรรดินีปิงเยว่

เพียงแต่ปริมาณข้อมูล ในผลึกความทรงจำตลอดนับพันล้านปีของจักรพรรดินีปิงเยว่มีจำนวนมหาศาลมาก จ้าวเทียนจึงต้องใช้เวลาซักพักถึงจะขุดคุ้ยอะไรออกมาได้

‘ แดนมิคสัญญีเก้าหยิน…หรือจะเป็นสุสานหมื่นเอกภพที่ผู้ปกครองซวนตี้เหยียนเคยกล่าวถึง ในช่วงเวลาที่ออกไปสำรวจพื้นที่ภายนอกจักรวาลเป็นครั้งแรก ’

ต้องบอกเลยว่า ก่อนที่สามผู้ปกครองเอกภพจะจากไปนั้น ได้มีการส่งเหล่าผู้แข็งแกร่งในตระกูลเหยียนและอีกสองตระกูลที่เหลือออกไปสำรวจห้วงมิติโกลาหลเป็นการลับ

ทั้งยังมีข้อมูลสำคัญบางส่วน ที่ได้รับมาจากการค้นวิญญาณสายลับต่างจักรวาลที่จับมาได้ ทำให้ได้รู้ถึงข้อจำกัดต่างๆรวมไปถึงอาณาเขตต้องห้ามทั้งหมด

ซึ่งแดนมิคสัญญีเก้าหยิน ได้ถูกจัดไว้เป็นอันดับแรกของสถานที่ที่ไม่ควรล่วงล้ำที่สุด เพราะกระทั่งตัวตนระดับผู้ปกครองเอกภพแห่งจักรวาลระดับสูงเอง หากหลงเข้าไปก็มีโอกาสเก้าตายหนึ่งรอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มาจากจักรวาลระดับต่ำหรือระดับกลางเลย

เดิมทีจ้าวเทียนก็พอคาดเดาได้ ว่าปลายทางของหลุมดำที่เกิดจากการระเบิดอย่างรุนแรงของกำแพงเอกภพคงจะส่งพวกเขาออกมาไกลมาก แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะถึงขั้นทะลุมาอีกด้านของดินแดนแห่งชีวิตและความตายเลยทีเดียว

เพราะหากเปรียบเทียบห้วงมิติโกลาหลเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ แล้วให้ดอกบัวที่ลอยสูงเหนือน้ำเป็นตัวแทนของจักรวาลระดับกลางและระดับสูงที่คงอยู่มาเนิ่นนาน ส่วนดอกบัวที่เพิ่งจะผลิบานโผล่พ้นผิวน้ำ ก็แทนจักรวาลระดับแรกเริ่มที่ถือกำเนิดใหม่

แดนมิคสัญญีเก้าหยิน ก็คือพื้นที่ลึกสุดใต้บึงน้ำที่เต็มไปด้วยเศษซากดอกบัวที่เหี่ยวเฉา หรือก็คือจักรวาลที่สิ้นอายุขัยตามธรรมชาติหรือดับสูญไปเพราะถูกทำลาย มีชะตากรรมเช่นเดียวกับซากบัวที่ต้องกลายเป็นอาหารให้กุ้งหอยปูปลาใช้ดำเนินชีวิต

ซึ่งความน่ากลัวที่แท้จริงของแดนมิคสัญญีเก้าหยิน ก็อยู่ตรงที่บางสิ่งบางอย่างที่มีหน้าที่กำจัดเศษซากจักรวาลที่พังทลายเช่นเดียวกับกุ้งหอยปูปลาที่กัดกินเศษซากดอกบัวนี่เอง

‘ จากข้อมูลที่ผู้ปกครองซวนตี้เหยียนรวบรวมมา เมื่อจักรวาลถูกทำลายโดยผู้แข็งแกร่งก่อนสิ้นอายุขัยและร่วงหล่นลงมาสู่แดนมิคสัญญีเก้าหยิน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า’

‘ ดวงวิญญาณแค้นของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่สูญสิ้นไป จะถูกดึงดูดเข้าหากันแล้วหลอมรวมถือกำเนิดเป็นตัวตนใหม่ ที่เต็มไปด้วยความกระหายในการกลืนกินสรรพสิ่ง ’

ยิ่งจ้าวเทียนสืบค้นความทรงจำของจักรพรรดินีปิงเยว่เท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งหมองคล้ำลงเท่านั้น เพราะศัตรูในครั้งนี้คืออสูรร้ายที่คงอยู่มานานหลายแสนล้านปีหรืออาจจะเป็นล้านล้านปีเลยด้วยซ้ำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน