ณ ดินแดนแห่งความตายที่ไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งชีวิต ทั้งผืนปฐพีและท้องนภาล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีแดงฉานราวกับตกอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตไร้จุดสิ้นสุด
ฉัวะ!ๆๆๆ ครืนนน!
เมื่อจ้าวเทียนเห็นซากศพอสูรตะขาบสีแดงขนาดยักษ์ ถูกพยุหะค่ายกลกระบี่ฟันขาดเป็นชิ้นๆร่วงหล่นลงพื้น เขาก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ที่การต่อสู้เมื่อครู่นี้ไม่ได้ดึงดูดศัตรูกลุ่มใหม่เข้ามาตามที่กังวลอยู่
เพราะยิ่งทั้งสองเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้นเท่าไหร่ ทั้งความแข็งแกร่งและความถี่ในการพบเจออสูรหยินที่หลบซ่อนในหมอกแดงก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เลยต้องสิ้นเปลืองทั้งเวลาและเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม
ซึ่งเหตุผลที่มันเป็นแบบนี้ ก็คงเป็นเพราะอสูรหยินในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมด ได้ถูกการร่วงหล่นของซากจักรวาลดึงดูดให้มารวมตัวกัน เพื่อแก่งแย่งช่วงชิงมื้ออาหารอันโอชะที่หลายล้านปีจะเกิดขึ้นซักครั้งหนึ่ง
วูป!
ร่างกายจ้าวเทียนเริ่มปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทอง ขจัดพิษคำสาบตกค้างจากการต่อสู้ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้เคล็ดกายาอมตะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั้งหมด
“ บัดซบ! ถ้าเป็นเช่นนี้กว่าพวกเราจะไปถึงจุดหมาย คงผ่านการต่อสู้ไม่จบไม่สิ้นจนกลายเป็นอาหารพวกมันซักตัวแน่ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ ”
ราชันเทพมารอเวจีพูดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด ก่อนจะเก็บง้าวจักรพรรดิมารทมิฬเข้าไปในร่างกาย แล้วเดินตรงมาหาจ้าวเทียนโดยทิ้งซากศพอสรพิษยักษ์สามเขาไว้เบื้องหลัง
“ จากที่ข้าสัมผัสได้ ปัญหาน่าจะมาจากกลิ่นอายหยางบริสุทธิ์ในตัวเจ้าดึงดูดศัตรูมากเกินไป เมื่ออยู่ภายในดินแดนหยินแห่งความตายเช่นนี้ มันก็คล้ายกับเปลวไฟท่ามกลางความมืดไม่มีผิด ”
“ ลองบอกวิธีของแกมาสิ ” จ้าวเทียนถามกลับไปสั้นๆ เขาเองก็มองออกเช่นกัน ว่าส่วนใหญ่อสูรหยินที่ปรากฏตัวช่วงหลังๆ ล้วนกำหนดเป้าหมายมาที่ตนเองก่อนแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น สิ่งแรกที่จ้าวเทียนสมควรทำเป็นอย่างแรก ก็คือการรีบแก้ไขปัญหาข้อนี้โดยเร็วที่สุด ถ้าไม่อยากถูกฝูงอสูรร้ายรุมฉีกทึ้งจนตายแล้วกลายเป็นอาหารของพวกมัน
“ วิธีของข้านั้นง่ายมาก ” ราชันเทพมารอเวจีฉีกยิ้มขึ้นอย่างเฉยชา ก่อนจะเปิดรอยแยกมิติขนาดเล็กที่กลางหน้าผาก ทำให้มองเห็นพระราชวังโครงกระดูกทมิฬปลดปล่อยออร่าอันน่าสะพรึงกลัวลอยเด่นอยู่ด้านใน
“ แค่ให้เจ้า เข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในนี้ก็พอแล้ว ”
!!
จ้าวเทียนรู้สึกเหมือนตนเองหูฝาดไป เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมมารที่ชั่วร้ายและเห็นแก่ตัวอย่างอีกฝ่าย จะกล้าเชื้อเชิญศัตรูอย่างเขาเข้าไปซ่อนตัวในพื้นที่จิตวิญญาณของตัวเอง
เพราะนี่คือพื้นที่ต้องห้ามและตำแหน่งอันเป็นจุดตายของผู้ฝึกตนทุกคน ถึงต่อให้ราชันเทพมารอเวจีจะสามารถฟื้นคืนชีพได้หลายครั้ง แต่ถ้าพระราชวังจิตวิญญาณถูกทำลาย ตัวมันก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลาอันเลวร้ายแน่นอน
“ น่าสนใจดีนิ…ไม่กลัวฉันฉวยโอกาสนี้สังหารแกงั้นเหรอ ” จ้าวเทียนถามย้ำขึ้น แล้วชี้คมกระบี่ไปที่จุดตายฝ่ายตรงข้าม สีหน้าของเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก
ต้องไม่ลืมว่า ที่นี่คือแดนมิคสัญญีเก้าหยินซึ่งปราศจากพลังงานแห่งกฎเกณฑ์คอยควบคุมบงการสรรพสิ่ง
ทำให้คำสาบานจิตวิญญาณ ส่งผลกระทบต่อตัวตนสูงสุดระดับจ้าวเทียนและราชันเทพมารอเวจีไม่มากนัก คล้ายกับเป็นเพียงหลักประกันอย่างหนึ่ง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจเท่านั้น
“ เหอะ! ถ้าอยากรนหาที่ตายนักก็ลองดู แต่ขอเตือนไว้อย่างยิ่งเวลาผ่านไปจำนวนอสูรหยินที่มารวมตัวกันก็จะมากขึ้นกว่าเดิม หากไม่อยากถูกขังไว้ในแดนมิคสัญญีเก้าหยินอีกนับล้านปี ก็จงรีบตัดสินใจซะ ” ราชันเทพมารอเวจีแค่นเสียงเย็นชา
ก่อนจะส่งภาพนิมิตเข้าไปในสมองจ้าวเทียน ว่าอาณาเขตรอบๆตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่เต็มไปด้วยอสูรหยินมากมายขนาดไหน
“ ตกลง…ฉันจะเชื่อแก ”
แม้รู้ดีว่านี่คือแผนการของราชันเทพมารอเวจี แต่จ้าวเทียนก็มั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองเช่นเดียวกัน ขอเพียงอีกฝ่ายกล้าทำอะไรผิดสังเกตก็เตรียมโดนเผาเป็นจุลได้เลย
แวบ!
เมื่อเห็นร่างของจ้าวเทียน กลายเป็นลำแสงขนาดเล็กหายเข้าไปอยู่ในพระราชวังจิตวิญญาณเรียบร้อยแล้ว
ราชันเทพมารอเวจีก็ใช้อาคมสังเวยโลหิต ดูดกลืนซากศพของตะขาบเก้าเศียรและอสรพิษยักษ์สามเขาเข้าไป เพื่อปรับเปลี่ยนกายหยาบและดวงวิญญาณของตนเอง ให้มีต้นกำเนิดเดียวกับพวกอสูรหยิน ทำให้เส้นทางข้างหน้าดูราบรื่นขึ้นมาทันที
ครืนนน! วูป!
ในเวลาไม่กี่อึดใจ ร่างของราชันเทพมารอเวจีก็แตกสลายกลายเป็นกลุ่มก้อนหมอกสีดำรูปร่างเหมือนอสรพิษขนาดเล็ก หลบรอดการตรวจจับของเหล่าอสูรหยินนับร้อย โดยไม่ต้องเผชิญกับการต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว
“ พวกเราใกล้ถึงแล้ว… ”
เสียงของราชันเทพมารอเวจีดังขึ้นในความคิดจ้าวเทียน ก่อนที่ภาพหุบเหวลึกไร้จุดสิ้นสุดจะปรากฏขึ้นบนขอบฟ้า ซึ่งอาณาเขตและความใหญ่โตของมันได้ทิ้งเงามืดบดบังสรรพสิ่งไปแทบจนหมดสิ้น
วูป! ครืนนนนน!
“ สิ่งนี้คือ…การร่วงหล่นของจักรวาลงั้นเหรอ ”
จ้าวเทียนมองเห็นเนบิวลารูปดวงตาขนาดยักษ์สีทอง ที่มีเงาของมหาพฤกษาบรรพกาลต้นหนึ่งอยู่ภายใน กำลังถูกพลังอันมหาศาลของแดนมิคสัญญีเก้าหยินพันธนาการ แล้วฉุดกระชากลงมาจากกึ่งกลางรอยแยกห้วงมิติที่บิดเบี้ยว
‘ ต้นไม้เอกภพที่โตเต็มวัยงั้นเหรอ…ไม่สิ บางทีมันอาจจะก้าวข้ามขอบเขตบรรพชนเทพพฤกษาไปแล้วก็ได้ ’
หนึ่งใบไม้โอบอุ้มกาเล็กซี่ หยั่งรากลึกท่ามกลางความว่างเปล่าควบคุมกฎเกณฑ์สวรรค์ปฐพี แผ่กิ่งก้านสาขาข้ามผ่านอดีต ปัจจุบัน อนาคต ปกครองสรรพสิ่งหมื่นยุคสมัยทรงพลังยิ่งใหญ่ไร้ผู้ใดเปรียบ
นี่คือ…ขอบเขตสูงสุดของต้นไม้เอกภพที่ได้ตระหนักรู้สามพันเต๋า และหลอมรวมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลอย่างแท้จริง
“ ข้ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าต้องการฟังสิ่งใดก่อน ”
!!
เสียงของราชันเทพมารอเวจีดังขึ้นอีกครั้งทำให้จ้าวเทียนขมวดคิ้วทันที ก่อนจะชักกระบี่ออกมาชี้ตรงไปที่พระราชวังจิตวิญญาณเสมือนเป็นการเตือนอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ให้ทำอะไรไร้สาระ
“ หึหึ งั้นให้ข้าบอกข่าวดีก่อนแล้วกัน ดูเหมือนพวกเราจะโชคดีได้เป็นสักขีพยานในการร่วงหล่นของจักรวาลระดับสูงที่กำลังจะหมดอายุขัย ซึ่งช่วงเวลาหลายหมื่นล้านปีจะมีโอกาสเกิดขึ้นซักครั้งหนึ่ง ”
“ ถ้าเจ้ากับข้าร่วมมือกัน ไม่แน่ว่าบางที เราอาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปก็ได้ อาทิเช่น เศษเสี้ยววิญญาณต้นกำเนิดจักรวาล หรือเมล็ดพันธุ์ต้นไม้เอกภพระดับสูงสุด ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน