ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 106

สรุปบท ตอนที่ 106 โดนแทน: ชายาเกิดใหม่ของข้า

สรุปตอน ตอนที่ 106 โดนแทน – จากเรื่อง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่

ตอน ตอนที่ 106 โดนแทน ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดยนักเขียน ลิ่วเยว่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 106 โดนแทน

แม่ทัพเฉินรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง น้องสาวของเขาเพิ่งแต่งเข้ามาในจวนอ๋องได้เพียงไม่กี่วัน แต่เขากลับพูดจาไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หากเขาจะคิดถึงพระชายาของตนก็แล้วไปเถิด แต่ทว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้น้องสาวเขาก็อยู่ภายในห้องนี้ด้วยจะให้เขาอาละวาดได้อย่างไร ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงปั้นสีหน้าเรียบเฉยอย่าให้ความรู้สึกเล็ดลอดออกไปให้ใครจับได้ก็พอ

เฉินอวี่จู๋เห็นบรรยากาศในห้องไม่สู้ดีก็เอ่ยขึ้น “เป็นจริงเช่นนั้นเจ้าค่ะ ท่านหมอเวินเป็นคนที่สำคัญมากจริงๆ ข้าเคยได้ยินว่าแม่นางฉ่ายเวินนอนสลบไสลไม่ได้สติมาหลายปีแต่เพราะได้ท่านหมดเวินรักษา จนตอนนี้แม่นางฉ่ายเวินก็กลับมาแข็งแรงได้ในที่สุด ในฐานะที่ข้าเป็นหญิง ข้าเองก็อดรู้สึกชื่นชมในท่านหมอเวินไม่ได้จริงๆเจ้าค่ะ”

หลี่เฉินเย่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็อ่อนลงทั้งยังหันมามองเฉินอวี่จู๋ “เจ้าก็ชื่นชมนางหรือ”

เฉินอวี่จู๋ยิ้มเขินอาย “ชื่นชมจากใจจริงเลยเจ้าค่ะ ขอให้นางกลับมาได้อย่างปลอดภัย!”

หลี่เฉินเย่นพิจารณารูปโฉมของนาง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของนางดูจริงใจไม่เสแสร้ง ดูแล้วนางคงปรารถนาให้ชูเซี่ยกลับมาได้อย่างปลอดภัยตามที่นางพูดจริงๆ เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกราวกับว่ากำลังได้รับการปลอบใจก็ไม่ปาน หลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็เฝ้าปลอบใจตนเองเช่นกัน นางกินยาวิเศษของอาขารย์นางไปแล้วนางจะต้องคุ้มครองตนเองได้และจะต้องกลับมาหาเขาแน่

เขาไม่อยากจะถอดใจ เขายังต้องคาดหวังต่อไปว่านางจะกลับมา หาไม่แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร!

หลี่อวิ่นกังถูกความรู้สึกผิดกัดกินไปทั้งร่างกายและจิตใจจนไม่อาจจะอยู่เผชิญหน้ากับหลี่เฉินเย่นได้อีกต่อไป “เปิ่นหวางมีธุระคงต้องขอตัวก่อน!”

หลี่เฉินเย่นจึงลุกขึ้นเดินไปส่ง “น้อมส่งเสด็จพี่!”

หลี่อวิ่นกังรับคำจากนั้นก็หันไปถามเฉินหยวนชิ่ง “แม่ทัพเฉินจะกลับพร้อมกันกับเปิ่นหวางเลยหรือไม่”

เฉินหยวนชิ่งก็ไม่สบายใจที่จะอยู่ต่อและถึงอยู่ต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดจึงลุกขึ้นยืน “ข้าก็ขอกลับพร้อมท่านอ๋องด้วยแล้วกันขอรับ!”

เฉินอวี่จู๋ก็เดินออกมาส่งทั้งคู่ถึงหน้าประตูจวน

เฉินหยวนชิ่งหันมามองน้องสาวตัวเองก่อนจะเอ่ยถามอย่างเวทนา “เขาดีต่อเจ้าหรือไม่”

เฉินอวี่จู๋ยิ้มอย่างเขินอาย “พี่ชายวางใจเถิดเจ้าค่ะ ท่านอ๋องดีต่อข้ามาก!”

เฉินหยวนชิ่งพยักหน้า “ดูแล้วเขาก็คงไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำนัก แต่ทว่าท่านหมอเวินผู้นี้หากนางกลับมาเจ้าก็ระมัดระวังหน่อย อย่าประมาทนางเป็นอันขาด!”

เฉินอวี่จู๋ส่ายศีรษะเบาๆ “พี่ชาย ท่านหมอเวินเป็นคนดีนะเจ้าคะ!”

เฉินหยวนชิ่งดุน้องของตน “เด็กโง่ เรื่องบางเรื่องกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือ ช่างเถิด เจ้าก็พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน!”

เฉินอวี่จู๋ยืนส่งทั้งสองอยู่หน้าประตู นางเฝ้ามองรถม้าที่ค่อยๆวิ่งห่างออกไปช้าๆ หัวใจของนางบังเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดท่านพี่ของนางจึงให้นางระวังในตัวท่านหมอเวินกันนะ อีกอย่างหากคนในจวนได้ยินนางเอ่ยถึงท่านหมอเวินขึ้นมาพวกเขาก็จะแสดงท่าทางลุกลี้ลุกลนขึ้นมา หรือว่าแท้จริงแล้วระหว่างท่านอ๋องและท่านหมอเวินจะมีอะไรจริงๆ

หัวใจของนางเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นจริงนางจะทำเช่นไรดี

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง!

หลังจากที่ชูเซี่ยถูกองครักษ์นำร่างของนางออกจากเมืองหลวงไปทิ้งที่เนินสุสานคนไร้ญาติยามนั้นนางก็ไม่มีสติสัมปชัญญะอีกแล้ว ภาพความทรงจำสุดท้ายของนางก็คือมีองครักษ์คนหนึ่งแทงดาบเข้าตรงกลางอกของนางจากนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดมากมายเข้ามาจู่โจม แผลที่เกิดจากรอยดาบนั้นช่างแสบร้อนราวกับถูกไฟนาบลงมา

หลังจากนั้นนางก็ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกเลย

วันนั้นในสุสานคนไร้ญาติหลังจากที่องครักษ์นำร่างนางมาทิ้งแล้วก็พอดีกับที่ฝูงหมาป่าออกหากินพอดี พวกมันเห็นสภาพร่างที่ยังสดใหม่อยู่ก็ย่างสามขุมหวังจะนำเหยื่อกลับไปกินที่รัง แต่ทว่าในตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มในชุดนักบวชปรากฎตัวขึ้นกลางอากาศและขับไล่พวกหมาป่าออกไป

นักบวชผู้นั้นเดินมาอุ้มร่างของชูเซี่ยขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา “สาวน้อยที่โง่งมของข้า หากไม่ใช่ว่าเจ้ากินยาวิเศษเข้าไปเกรงว่าป่านนี้อาจารย์ก็คงไม่อาจช่วยเจ้าได้แล้วล่ะ!”

สิ้นเสียงนั้นทั่วทั้งสุสานก็มีหมอกควันประหลาดเกิดขึ้นจากนั้นเมื่อสายลมพัดขจัดหมอควันก็ไม่ปรากฎร่างทั้งสองเมื่อครู่อีกแล้ว

กว่าชูเซี่ยจะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านไปครึ่งเดือน

“ฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงที่คั้นเคยดังขึ้นพร้อมกับเสียงจังหวะการก้าวเท้าที่แผ่วเบาจนเสียงฝีเท้านั่นมาหยุดลงข้างเตียง

ชูเซี่ยเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆก่อนจะอ้าปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “อาจารย์ ข้าตายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”

นักบวชถอนหายใจ “อะไรจะตายได้ง่ายดายเพียงนั้น ยังไม่ตายหรอก โชคดีที่อาจารย์ไปช่วยเจ้าได้ทันไม่งั้นเจ้าก็คงตายจริงแน่”

นักบวชยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะกระซิบเสียงเบา “เจ้านอนพักสักหน่อยเถิด อาจารย์จะพาเจ้าไปพบจูเก๋อหมิงเอง!” กล่าวจบเขาก็ค่อยๆเอื้อมมือไปปิดดวงตาที่ฉ่ำน้ำของนางไว้และเมื่อเอามันออกอีกครั้งชูเซี่ยก็หลับตาหายใจสม่ำเสมอ

ทุกวันนี้จูเก๋อหมิงย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังน้อยของชูเซี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีเขาเองก็อยากพาเจ้าถ่านและนายท่านเหมาออกมาจากบ้านไปอยู่ที่โรงหมอ แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นไม่ยอมเขาก็ทำอะไรไม่ได้

วันนี้กว่าจะเดินทางจากโรงหมอกลับถึงบ้านก็มืดค่ำเข้าไปแล้ว ต้นเหมยที่ปลูกไว้ที่ลานกว้างก็เริ่มผลิดอกแล้วรวมถึงต้นท้อที่อยู่ข้างๆกำแพงที่เริ่มส่งกลิ่นหอมมาตามสายลมเป็นระยะๆ

ในมือของชายหนุ่มถือจอกเหล้าขณะที่ร่างสูงยืนอยู่ที่ชานระเบียง สายคาคมจับจ้องไปที่ต้นเหมย กิ่งเทอะทะที่ยื่นออกมาของมันดูแปลกๆเล็กน้อยยิ่งเมื่ออยู่ในยามค่ำมืดที่มีแสงสลัวของดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาจนเกิดเงารูปร่างประหลาด

ครึ่งเดือนผ่านไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่อาจลืมเลือนชูเซี่ยได้เลย หัวใจของเขาไม่อาจปล่อยวาง อีกทั้งระยะนี้หลี่เฉินเย่นก็ไม่ได้ฝากส่งจดหมายให้แก่ชูเซี่ยสักครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเข้าจะรู้อะไรบางอย่าง

เขาเคยเห็นหน้าของเฉินอวี่จู๋พระชายาคนใหม่ของจวนอ๋องหนิงอานมาแล้ว หญิงสาวผู้นั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยิงหลงยิ่งนัก เขาไม่รู้ว่าหลี่เฉินเย่นจะคิดเอานางมาแทนที่ชูเซี่ยหรือไม่ แต่ทว่าหากเขาทำเช่นนั้นจริงนั่นก็เท่ากับว่าความลับที่ว่าชูเซี่ยตายไปแล้วก็จะสามารถปกปิดได้ตลอดไปไม่ใช่หรือ

เพียงแค่คิดเช่นนั้นจูเก๋อหมิงก็ตื่นเต้นจนไม่อาจทนรอได้อีก ท่านหมอหนุ่มรีบเดินทางไปที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนเพื่อบอกเล่าถึงแผนการที่เขาเพิ่งคิดได้ให้แก่หลี่อวิ่นกัง

“ความหมายของเจ้าคือ?” หลี่อวิ่นกังฟังแผนการของจูเก๋อหมิงแล้วก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ชูเซี่ยตายมาแล้วสองรอบ พวกเราก็หาคนที่ไว้ใจได้ไปบอกแก่เฉินเย่นว่าชูเซี่ยเข้าสิงร่างของเฉินอวี่จู๋ จริงสิ ท่านก็รีบไปสืบมาก่อนเถิดว่าก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับนางบ้างหรือไม่เพื่อที่พวกเราจะได้สวมรอย”

หลี่อวิ่นกังเข้าใจได้ในที่สุดแต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังยกมือปราม “แผนการของเจ้าฟังดูเข้าท่าก็จริง แต่ทว่ามันก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อย เฉินอวี่จู๋เป็นน้องสาวแท้ๆของเฉินหยวนชิ่ง นางจะยอมให้ความร่วมมืองั้นหรือ อีกอย่างเจ้าคิดจะให้ใครเป็นคนไปพูดเรื่องนี้แก่เฉินเย่นเล่า แล้วเจ้ามั่นใจมากแค่ไหนว่าเฉินเย่นจะเชื่อเรื่องเช่นนี้”

จูเก๋อหมิงทำสีหน้าครุ่นคิด “พวกเราจะไปหาอ๋องเก้า จูฟางหยวน และ ท่านราชครู!” จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อ “ส่วนด้านของเฉินอวี่จู๋นั้นพวกเราก็ค่อยๆไปคุยกับนาง ข้าดูออกว่านางเองก็รักเฉินเย่น นางจะต้องเห็นด้วยกับแผนการณ์นี้แน่”

หลี่อวิ่นกังไม่ใคร่สบายใจนัก “เรื่องนี้ไม่ค่อยจะดีกระมัง หากให้เฉินเย่นทราบเรื่องวิญญาณเข้าร่างก็เท่ากับว่าเราต้องบอกเขาว่าชูเซี่ยตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”

จูเก๋อหมิงหันมามองหลี่อวิ่นกัง “ตอนนี้เขาเองก็เริ่มระแคะระคายอยู่บ้างแล้วล่ะ ท่านและข้าเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าชูเซี่ยไม่อาจกลับมาได้อีกแล้วไม่ใช่หรือ ท่านรีบเข้าวังไปหาอ๋องเก้าก่อนเถิด ส่วนข้าจะไปหาเฉินเย่นและบอกเรื่องการตายของชูเซี่ย ท่านเองก็พาอ๋องเก้าและท่านราชครูไปสมทบที่นั่น ระหว่างนี้ข้าก็จะหาโอกาสพูดคุยกับเฉินอวี่จู๋เอง”

หลี่อวิ่นกังคิดทบทวนหลายรอบ เมื่อเขาฟังแผนการณ์เหล่านี้ก็รู้สึกสงสารขึ้นมาแต่ทว่าเขาก็ไม่กล้าปล่อยผ่านมัน เขายังจำภาพความเจ็บปวดทรมานและทุกข์ระทมของหลี่เฉินเย่นต่อการตายของชูเซี่ยได้ไม่ลืม ในฐานะพี่ชายเข้าย่อมไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก เขาไม่อาจปล่อยให้น้องชายของตนต้องกลับไปใช้ชีวิตเช่นนั้นได้อีกแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า