ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 110

สรุปบท ตอนที่ 110 ความลับของราชวงค์: ชายาเกิดใหม่ของข้า

สรุปตอน ตอนที่ 110 ความลับของราชวงค์ – จากเรื่อง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่

ตอน ตอนที่ 110 ความลับของราชวงค์ ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดยนักเขียน ลิ่วเยว่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 110 ความลับของราชวงค์

ยามที่หลี่เฉินเย่นกลับมาที่จวนอ๋อง เฉินอวี่จู๋นางก็ได้สั่งให้คนจัดเตรียมสำรับไว้เรียบร้อย เมื่อนางเห็นว่าหลี่เฉินเย่นกลับมาแล้วก็ยิ้มแย้ม “ท่านอ๋องกลับมาได้พอดีเลยเจ้าค่ะ มีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานของโปรดของท่านด้วยเจ้าค่ะ!”

หลี่เฉินเย่นเงยหน้ามองนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเปิ่นหวางชอบกินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน”

เฉินอวี่จู๋ยังคงระบายยิ้มไปทั่วทั้งหน้า “ไม่รู้เจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าท่านชอบก็เท่านั้น”

หลี่เฉินเย่นยอมนั่งลงแต่โดยดี ยามที่เขาจ้องมองใบหน้าของนางดวงตาคมเต็มไปด้วยประกายความสุขระคนเศร้าใจ หัวใจมีความรู้สึกซับซ้อนไม่อาจอธิบายได้ เฉินอวี่จู๋เดินมานั่งลงข้างๆจากนั้นก็เอ่ย “กินข้าว!”

นางคีบซี่โครงให้เขาชิ้นหนึ่งก่อนจะลอบมองใบหน้าของเขายามที่กิน

รสชาติเปรี้ยวหวานๆก็เหมือนกับความรู้สึกของหลี่เฉินเย่นในยามนี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้หญิงสาวข้างกาย “อร่อยมาก!”

เฉินอวี่จู๋ก็ยิ้ม “อร่อยก็กินให้มากหน่อยนะเจ้าคะ!”

หลี่เฉินเย่นพยักหน้าก้มหน้าก้มตากินอาหารที่เฉินอวี่จู๋คีบตักให้เขา แม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ได้หิวแม้แต่น้อย หัวใจของเขายังเต็มตื้อไปด้วยคำถามมากมายจะให้เขากินข้าวลงได้อย่างไร

เมื่อกินข้าวไปได้ครึ่งชามเขาก็กินไม่ลงอีกแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเฉินอวี่จู๋ ใบหน้าของนางที่ละม้ายคล้ายกับหลิวหยิงหลงทำให้เขารู้สึกเชื่อขึ้นมา เมื่อก่อนวิญญาณของชูเซี่ยก็สามารถเข้าร่างของหลิวหยิงหลงได้ แล้วในยามนี้เหตุใดวิญญาณของนางจะไม่สามารถมาเข้าร่างหญิงสาวผู้นี้ที่คล้ายหลิวหยิงหลงได้บ้างเล่า ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งมั่นใจ

ชายหนุ่มเอ่ยถามอะไรบางอย่างเมื่อนึกขึ้นได้ “ในหัวของเจ้ายังจำอะไรได้อีกหรือไม่ เจ้ายังจำครั้งที่ขึ้นไปบนหุบเขาที่มีแต่งูได้หรือไม่”

เฉินอวี่จู๋ทำสีหน้าครุ่นคิด “ก็พอได้เจ้าค่ะ ข้าจำได้เพียงว่ามีคนแบกข้าผ่านหุบเขาอสรพิษ แต่ภาพมันเลือนลางเสียจนจำอะไรแทบไม่ได้”

หัวใจของเขาสั่นไหวไปหมด เรื่องนี้ไม่มีผู้อื่นทราบอีก หากนางไม่ใช่ชูเซี่ยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้ที่แบกนางขึ้นหลังยามที่เดินผ่านหุบเขาอสรพิษ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับเฉินอวี่จู๋จากนั้นค่อยๆกอดนางไว้ในอ้อมแขนและลูบเส้นผมของนางพลางเอ่ยพึมพำ “เปิ่นหวางรอเจ้ามานานเหลือเกิน!”

แม้ว่าในใจลึกๆของนางจะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ทว่ายามนี้นางกลับรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน เรื่องอื่นช่างมันเถิดนางไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว

ด้านหลี่เฉินเย่นที่รวบร่างของนางมากอดในใจก็รู้สึกแปลกประหลาดไม่อาจบอกออกมาได้ แม้ว่าเขาจะมั่นใจแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คือชูเซี่ยแต่ทว่าในใจกลับวูบโหวงอย่างประหลาด เมื่อก่อนเพียงแค่เขาได้จับมือของชูเซี่ยไว้เขาจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เขาต้องการอยู่ในกำมือของเขาแล้วไม่เหลือสิ่งใดที่เขาปรารถนาอีกแล้ว แต่ตอนนี้แม้ว่าจะได้โอบกอดร่างของนางไว้เต็มอ้อมแขนแต่กลับไร้ซึ่งความรู้สึกนั้นเสียอย่างนั้น

มือของเฉินอวี่จู๋ที่เขาจับอยู่มันเย็นเหลือเกิน เขาจำได้ว่ามือของชูเซี่ยอุ่นมาก ทุกครั้งที่เขาจับมือของนางไว้มันก็ทำให้ใจของเขารู้สึกอุ่นตามไปด้วย

ชายหนุ่มค่อยๆปล่อยนางออกจากอ้อมกอดช้าๆจากนั้นก็เพ่งมองใบหน้าเขินอายของนางด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขานึกถึงคำพูดของท่านราชครูว่าเขาควรจะระมัดระวังอย่าได้ร้อนใจด่วนตัดสิน ท่านราชครูบอกเขาเพียงว่าชูเซี่ยกลับมาที่วังหลวงแล้ว เพียงแค่นางยังไม่ตายเขาก็ไม่ควรตัดสินว่าเฉินอวี่จู๋ก็คือนาง

ตอนนั้นเองที่เชียซานเดินเข้ามาภายในห้องเห็นความสนิทสนมแนบชิดของทั้งสองก็รู้สึกอึดอัดจึงเคาะประตูทีหนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆย่อกาย “ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา!”

หลี่เฉินเย่นมองไปที่เชียนซาน “เจ้ามาได้อย่างไร”

เชียนซานจึงเอ่ยตอบ “ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับท่านเจ้าค่ะ!”

หลี่เฉินเย่นลุกขึ้นยืน “อืม เช่นนั้นก็ไปคุยกันให้ห้องหนังสือเถิด”

“คุยที่นี่ก็ได้เจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระชายาเช่นกัน ข้าอยากขอให้ท่านอนุญาติให้ข้าเป็นผู้คุ้มครองดูแลพระชายาเจ้าค่ะ”

หลี่เฉินเย่นมองนางอย่างประหลาดใจปนตกตะลึง เชียนซานเป็นคนของพรรคมังกรเหิน คนที่นางจะให้การคุ้มครองจึงมีเพียงแค่หัวหน้าพรรคมังกรเหินเท่านั้น แต่การที่จู่ๆนางมาบอกว่าจะขอเป็นผู้ให้การคุ้มครองแก่เฉินอวี่จู๋ หรือว่านางจะไปทราบเรื่องอะไรมา ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบ “เจ้าไปห้องหนังสือกับเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้!”

เชียนซานปรายตามองมาที่เฉินอวี่จู๋ด้วยประกายซับซ้อน แต่ทว่าในสายตาของหลี่เฉินเย่นเขามั่นใจว่าเชียนซานจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ แต่ทว่าก็ไม่แน่ว่าเชียนซานจะยอมบอกเขาแต่โดยดี แน่นอนว่าเชียนซานย่อมต้องรู้ว่าชูเซี่ยตายแล้วเช่นกันหาไม่แล้วนางก็คงไม่สมคบคิดกับจูเก๋อหมิงเรื่องการปลอมจดหมายของชูเซี่ยหรอก

เมื่อไปถึงห้องหนังสือหลี่เฉินเย่นก็ผิดประตูและหันมามองเชียนซานด้วยดวงตากดดัน “เจ้ามีเรื่องปิดบังเปิ่นหวางใช่หรือไม่”

เชียนซานหลีกเลี่ยงสายตาของเขาก่อนจะยิ้มบางๆ “เปิ่นหวางกล่าวอะไรกันเจ้าคะ เชียนซานจะมีเรื่องปิดบังท่านได้อย่างไร”

หลี่เฉินเย่นนำจดหมายที่จูเก๋อหมิงปลอมลายมือของชูเซี่ยขึ้นมาและโยนลงตรงหน้านางจากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เปิ่นหวางรู้มานานแล้วว่าชูเซี่ยตายเพราะเสด็จพี่เป็นผู้ลงมือสังหารนางทั้งยังนำศพไปทิ้งที่สุสานคนไร้ญาตินั่น จดหมายพวกนี้ก็ไม่ใช่ชูเซี่ยที่เป็นคนเขียนแต่เป็นจูเก๋อหมิง”

เชียนซานตกตะลึงนางยืนแข็งค้างอยู่เช่นนั้นไม่กล้าเอ่ยอะไร

หลี่อวิ่นกังรีบวิ่งไปที่ห้องโถงทันที ภาพทีเห็นก็คือหลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องโถง หลี่อวิ่นกังหยุดยืนอยู่ที่บันไดหินข้างนอกหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มน้อยๆและค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง

“มาแล้วหรือ” หลี่อวิ่นกังเดินเข้ามาในห้องใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มานานมากเหลือเกิน

หลี่เฉินเย่นค่อยๆหันหน้ามามองเขาช้าๆ “ให้พวกผู้ติดตามถอยออกไปก่อนได้หรือไม่”

หลี่อวิ่นกังชะงักไปก่อนจะไล่ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมดทั้งยังปิดประตูเสร็จสรรพ

หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม่ได้ขยับเขยื้อน ในมือหนาของเขาถือถ้วยชาในมือ น้ำชาในถ้วยเย็นไปนานแล้ว ดวงตาคมมองใบชาในถ้วยก่อนจะค่อยๆคนมันช้าๆจนเศษใบชาหมุนวนเป็นวงกลม

หลี่อวิ่นกังก็เดินลงมานั่งข้างๆไม่ได้เอ่ยอะไรเช่นกัน มือข้างหนึ่งพิงพนักไว้ เขาพอจะคาดเดาได้ว่าหลี่เฉินเย่นมาที่นี่ทำไม แต่ทว่าในใจของเขากำลังตีกันสับสนวุ่นวายไปหมดว่าควรจะบอกความจริงออกไปหรือปกปิดต่อไปดี

แต่คำแรกที่หลี่เฉินเย่นเอ่ยปากพูดกลับไม่ใช่เรื่องของชูเซี่ย “เสด็จพี่ยังจำเรื่องของเสด็จพี่รองได้หรือไม่”

หลี่อวิ่นกังตื่นตะลึง ใบหน้าของเขาฉายแววเจ็บปวดอย่างมากก่อนที่เขาจะค่อยๆตอบกลับมาเบาๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบตรงข้ามกับความรู้สึกในใจ “ข้ายังจำเสียงร้องของเขาได้ไม่ลืม”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน “ใช่แล้ว ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงพี่สองข้าก็จะนึกถึงเสียงร้องของเขา เสด็จพี่ ในบรรดาพวกเราสามพี่น้องตอนนี้เหลือเพียงพวกเราสองคนเท่านั้น ท่านเห็นคุณค่าของพี่น้องร่วมสายเลือดบ้างหรือไม่”

หัวใจของหลี่อวิ่นกังเจ็บแปลบ เขาหรือจะไม่เห็นคุณค่าของมัน สายเลือดและครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาเสมอ เรื่องทะเลาะเบาะแว้งก่อนหน้านี้ก็หาได้มาจากความต้องการเขาเสียที่ไหน เป็นเพราะตัวเขาหูเบาเชื่อฟังคนง่ายทั้งยังหลงเชื่อคำยุแยงจนเผลอทำผิดพลาดลงไปเช่นนั้น

หลี่อวิ่นกังถอนหายใจออกมา “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ!”

หลี่เฉินเย่นหันมามองเขา “เสด็จพ่อทรงป่าวประกาศว่าเสด็จพี่รองถูกลอบสังหาร แต่พวกเราต่างก็รู้กันดีว่าเป็นเพราะดวงชะตาของเสด็จพี่รองเกิดมาเพื่อนั่งบนบัลลังก์ของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่อาจทนได้จึงสั่งให้ลอบสังหารเขา ความจริงแล้วไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ว่าเสด็จพี่รองไม่มีวันที่จะช่วงชิงบัลลังก์จากเขาได้เลย เพราะตั้งแต่เกิดมาจากครรภ์มารดาเขาก็สติบกพร่อง แม้แต่การใช้ชีวิตปกติยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หัวใจของหลี่อวิ่นกังสั่นไหวอย่างรุนแรง เรื่องนี้เขาเองก็รู้ ตอนที่หลี่อวิ่นหลงตายเขาเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบหกเท่านั้น เขาเกิดมาก็มีสติวิปลาสด้อยปัญญาต้องทนต่อสายตาดูแคลนของผู้คน เสด็จพ่อไม่รักเขาแม้แต่น้อยแม้กระทั่งพระสนมผู้ให้กำเนิดพระองค์ก็เย็นชาหมางเมิน เพราะเกิดมาเป็นเช่นนี้เสด็จพ่อจึงรังเกียจไม่เห็นเขาอยู่ในสายพระเนตร

แต่ทว่าเมื่อเขาอายุได้สิบหกปี มีนักโหราศาสตร์ท่านหนึ่งเดินทางมาจากอาณาจักรหนานเจ่าในมณฑลยูนนาน เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งให้เขามาเข้าเฝ้า แต่ตอนนั้นเองที่น้องรองเข้ามาในห้อง นักโหราศาสตร์ท่านนั้นกล่าวว่าชะตาชีวิตขององค์ชายพระองค์นี้สูงส่งอาจได้ครองบัลลังก์ต่อจากพระองค์ หลังจากนั้นเสด็จพ่อก็ทรงทดสอบน้องรองมากมายจริงอยู่แม้ว่าน้องรองจะมีสติปัญญาอ่อนด้อยแต่ทว่าเขาก็มีความคิดอ่านไม่เหมือนผู้ใด เป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่โดดเด่น วรยุทธก็นับว่าห่างชั้นจากหลี่อวิ่นกังและหลี่เฉินเย่นมากนัก แต่ถึงกระนั้นเสด็จพ่อก็ยังก็ยังหลงเชื่อคำทำนายนั้นว่าองค์ชายรองจะมาขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระองค์ สุดท้ายแม้ว่าพระองค์จะเป็นบิดาแท้ๆก็ตามแต่ก็ทรงโหดเหี้ยมและเห็นแก่บัลลังก์ของพระองค์จนลอบสังหารองค์ชายรองในที่สุด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า