ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 111

ตอนที่111 ชาตินี้ไม่พบเขาอีก

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ในใจของ หลี่อวิ่นกังล้วนสั่นไหวไม่หยุด แม้ว่าเรื่องนี้ได้ถูกปกปิดมานานแล้ว แต่เพราะพระสนมที่เสียสติหลังจากลูกชายเสียชีวิตจนพูดจาเหลวไหล ได้พูดความจริงออกมา ซึ่งแม้ว่าเสด็จพ่อจะทรงแก้ข่าวลือนั้น แต่ทุกคนล้วนกระจ้างในเรื่องราวดีว่าความจริงนั้นคือฮ่องเต้นั้นทรงได้ฆ่าลูกแท้ๆของตนเอง

ตอนนี้หลี่เฉินเย่นได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาต้องการพูด หรือเรียกร้อง จึงล้วนเป็นสิ่งที่ตนเองไม่อาจปฏิเสธได้

หลี่เฉินเย่นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย “หลังจากที่พี่รองได้เสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าเสด็จพ่อจะพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ของพวกเราระหว่างบิดาและบุตร แต่ทั้งต่อหน้าและลับหลังคือภาพลวงตาของบิดามีเมตตา บุตรกตัญญูฉากหนึ่ง แต่เสด็จพี่คงจะรู้ว่าสันติภาพทั้งหมด ล้วนคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนฐานของการต้องเชื่อฟัง ยิ่งไปกว่านั้นไม่สามารถมีผู้ใดที่จะเข้ามาพูดสิ่งที่ไม่ดีกับพวกเรา มิฉะนั้นจุดจบของพวกเราก็จะเหมือนกับพี่รองเช่นกัน”

หลี่อวิ่นกังนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใดออกมา ถึงแม้ว่าคำพูดทั้งหมดของหลี่เฉินเย่นจะดูโหดร้าย แต่กลับคือความจริง

สองสามปีมานี้เสด็จพ่อพยายามที่จะทำให้คนรู้สึกถึงความปรองดองของราชวงศ์ แต่เรื่องราวเหล่านั้นที่เกิดขึ้น ช่างโหดเหี้ยม ความอ่อนโยนเท่าใดล้วนไม่อาจลบรอยแผลในก้นบึ้งของหัวใจให้หมดไปได้

เขาไม่อยากที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ได้ผ่านไปนี้แล้ว พวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนแปลง และเอาชีวิตของน้องรองกลับคืนมาได้ เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “เสด็จน้องมีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถิด”

หลี่เฉินเย่นหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมสายตาแล้วเอ่ยขึ้น “ดี งั้นข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้เสด็จพ่อไม่รีบร้อนที่จะแต่งตั้งรัชทายาท หนึ่งคือทรงไม่แน่พระทัยว่าจะแต่งตั้งพี่หรือว่าน้อง สองคือกลัวอำนาจของพรรคพวกที่สนับสนุนอยู่ด้านหลังของพวกเราสบคบคิดแสวงหาผลประโยชน์ คิดหาวิธีที่จะเอาชนะคะคาน หากระหว่างพวกเราเหลือเพียงแค่หนึ่ง เขาก็อาจจะไม่กังวลสิ่งเหล่านี้ และไม่ต้องใช้แรงกายแรงใจให้พวกเราต่อสู้กันเอง ”

หลี่อวิ่นกังยกคิ้วขึ้น “เจ้าวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผล แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรพวกเราพี่น้องก็ไม่สามารถต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเพื่อบัลลังก์มังกร” ความหมายในคำพูดคือเขาไม่คิดที่จะแย่งชิง

หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างเศร้า ๆ “พวกเราพูดแล้วว่าไม่ต้องการ แม้ในใจของพวกเราไม่คิดที่จะสืบทอกบัลลงก์ แต่เสด็จพ่อกลับทรงเห็นว่าไม่เชื่อใจพวกเรา มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือหนึ่งในพวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องออกจากเมืองหลวงไป”

หลี่อวิ่นกังงงงัน เงยหน้ามองไปยังเขา “เจ้าต้องการให้พี่จากไปหรือ”

หลี่เฉินเย่นจ้องมองเขา แล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าจะเป็นคนไปเอง”

หลี่อวิ่นกังมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าจะไป เจ้าจะออกไปได้อย่างไร”

หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าไปไม่ได้ แต่ข้าสามารถตายได้”

หลี่อวิ่นกังลุกขึ้นทันที แล้วเอ่ยตะคอกว่า “พูดจาเหลวไหล ใครอนุญาตให้เจ้าตายได้ ”

หลี่เฉินเย่นยืนมือออกไปกดดันเขา เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ข้าพูดว่าแกล้งตาย เพียงท่านพี่บอกข้าว่า ชูเซี่ยอยู่ที่ใด ข้าก็จะพานางออกจากเมืองหลวงไป ถึงตอนนั้นต้องการเพียงสร้างละครฉากง่ายๆขึ้นมาสักฉาก ให้เสด็จพ่อเชื่อว่าข้าได้ตายไปแล้ว เช่นนี้เขาจึงไม่สามารถสืบสวนเสด็จแม่ และผู้คนที่อยู่รอบข้าง ”

หลี่อวิ่นกังคิดถึงคูดของท่านนักบวชขึ้นมา ที่ว่าวันเวลาของหลี่เฉินเย่นหลังจากนี้คือชะตากรรมที่สวรรค์กำหนด คิดแล้วไม่ใช่ไร้จุดหมาย ถ้าหากเขาจะจากไป เพียงเป็นการหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่เกิดขึ้นเท่านั้น

หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าของเขาที่ลังเล จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างโศกเศร้าว่า “เสด็จพี่สามปีก่อนนั้นพี่สะใภ้ได้เกิดภาวะคลอดบุตรยาก ช้าไปนิดเดียวไม่อาจที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ท่านเคยได้รับความทุกข์แบบนี้เช่นกัน ท่านทำใจได้ที่จะข้าหลังจากนี้มีชีวิตตกอยู่ท่ามกลางความทุกช์มรมาณเช่นนั้นหรือ ข้ารู้ดีว่า ชูเซี่ยได้เสียชีวิตเพราะฝีมือคนของท่าน เรื่องราวพวกนี้ข้าได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องราวในอดีตแก่ข้าฟังอีก แต่ตอนนี้ข้ารู้ว่า ชูเซี่ยกลับมาแล้ว ท่านรู้ดีว่านางอยู่ที่ใด ท่านโปรดบอกข้า ข้าจะพานางจากไป หลังจากนี้พวกเราล้วนจะไม่ย้อนกลับมาอีก แม่ทัพพญาอินทรีย์ และรัชทายาทอะไรนั่นข้าล้วนไม่สนใจ ”

เขาพูดไปอย่างชัดเจนแล้ว ยังวางท่าทางให้ดูต่ำต้อย โดยทั้งหมดเป็นการน้ำเสียงที่ดูวิงวอนแล้ว หาก หลี่อวิ่นกังไม่ใจอ่อนก็แปลกแล้ว เพียงทุกคำในประโยคของท่านักบวชดังขึ้นในหู เขาเป็นรัชทายาทที่แท้จริง ซู่เซี่ยเป็นวิญญาณจากอีกโลก ถ้านางอยู่กับเขา มีแต่ที่จะทำให้ร้ายโดยทำร้ายอีกครั้งเท่านั้น ชูเซี่ยกับเขาคือครอบครัวที่มีชีวิตสูงส่งสง่างาม เขาจะปล่อยให้นางต้องทนทุกข์อีกครั้งได้อีกหรือ แต่ตอนนี้หากยังไม่ได้พูดกันให้เข้าใจ ไม่ช้าก็เร็วหลี่เฉินเย่นก็คงตรวจสอบอย่างชัดเจนอยู่ดี ถึงตอนนั้นกลัวว่าความเข้าใจผิดระหว่างพี่น้องของพวกเขาจะฝังรากลึกเกินไปแล้ว

ชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ยังคิดว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมันแล้วกัน ตนเป็นพี่ชายเขาก็หวังที่จะเห็นน้องชายของตนนั้นมีความสุข ในเมื่อเขารู้แล้วว่า ชูเซี่ยกลับมา ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานก็คงตามหา ชูเซี่ยจนพบ ทำไมยังต้องให้เขาทนทุกข์อยู่กลับสิ่งพลิกผันมากเหล่านี้อีก

เขาถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จน้องพี่จะไม่ปิดบังเจ้า จะเล่าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง ส่วนจะทำเช่นไร เจ้าก็ไตร่ตรองด้วยตนเองเถิดนะ”

หลี่เฉินเย่นได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาก็พลันแดงก่ำ โชคดี โชคดีเหลือเกินที่เสด็จพี่ยังคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนี้ ความจริงเขาทราบดีว่าจะต้องโหดร้าย แต่ว่าเขาต้องการเป็นคนที่มีความชัดเจน เขา เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปที่ หลี่อวิ่นกัง

หลี่อวิ่นกังเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เรื่องราวต้องเริ่มจากการหายตัวไปของอานเหยียน การหายตัวไปของอานเหยียนแท้จริงแล้วทำให้พี่ว้าวุ่นใจ คิดว่าเป็นฝีมือของเจ้า เคยไปที่จวนเพื่อจัดการกับเจ้า เรื่องราวพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นมาอีก หลังจากนั้นเริ่มจากที่เจ้าได้จากไปแล้ว คนใต้บังคับบัญชาของพี่ก็กระจายอยู่ทั่วทุกมุมในเมืองหลวง รวมถึงแถบชานเมือง ซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นและจุดจบของ ชูเซี่ยในคืนนั้น องค์รักษ์ในจวนของข้าพบ ชูเซี่ยกอดอานเหยียนเอาไว้ในแม่น้ำหลิวที่ชานเมืองเข้า ตอนนั้นเนื่องจากมืดมิดลมแรงการมองเห็นจึงไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงไม่ทันเห็นว่ามีคนรีบร้อนตามนางทางด้านหลัง เพียงคิดว่านางคือคนที่ลักพาตัวอานเหยียน ลงมือทำร้ายนางและพานางกลับมาที่จวน เหตุการณ์ตอนนั้นพี่จะไม่พูดถึงแล้วกัน สุดท้ายคนของพี่ได้ลงมือสังหารนางแล้ววิ้งศพของนางไว้ที่สุสาน เรื่องราวนี้ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าได้ตรวจสอบอย่างกระจ้างแจ้งแล้วพี่ก็จะไม่ปกปิดเจ้าอีก หลังจากนั้นจูเก๋อหมิงก็รุดไปตรวจสอบที่สุสานแล้วจึงทราบถึงเรื่องนี้ และถึงมาเอ่ยกับพี่ถึงสถานะที่แท้จริงของ ชูเซี่ย พี่ถึงได้เสียใจภายหลัง ในเวลานั้นเจ้าใกล้จะแต่งงาน จึงกลัวว่าหลังบอกข่าวร้ายนี่แก่เจ้า เจ้าจะต้องต่อต้านการแต่งงานนี้ ดังนั้นหลังปรึกษากันแล้วพวกเราจึงตัดสินใจปิดปังเจ้าเอาไว้ จนถึงเมื่อวานนี้ท่านนักบวชได้ส่ง ชูเซี่ยกลับมา และกำชับพวกเราว่าต้องบอกเรื่องที่ซ่อนของ ชูเซี่ยแก่เจ้าทราบ เขาจะหาทางปกปิดเรื่องราวในอดีตเอง...”

เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว หลี่เฉินเย่นก็คิดขึ้นมาทันทีว่าอยากจะพบนักบวชท่านนี้ จึงรีบอ่ยถามว่า “นักบวชท่านนั้นคือผู้ใด เขาใยถึงไม่ให้ข้ารู้ถึงที่ซ่อนของ ชูเซี่ย”

หลี่อวิ่นกังเอ่ยขึ้น “เขาคืออาจารย์ของชูเซี่ย เขาพูดว่า ชูเซี่ยเป็นวิญญาณที่มาจากอีกยุคสมัยหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ มิฉะนั้นเพราะเจ้า ชูเซี่ยอาจจะต้องเจอกับสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเหลือนางได้อีกแล้ว......”

หลี่เฉินเย่นพลันลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “เหลวไหล เพราะอะไรถึงอยู่กับข้าแล้วจึงจะเกิดเรื่องคาดไม่ถึงกับ ชูเซี่ย เขาช่างพูดเหลวไหลสิ้นดี”

หลี่อวิ่นกังนิ่งเงียบไม่ไหวติง เพียงจ้องมองเขา รอให้เขามีสีหน้าที่สงบลงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เสด็จน้องคิดดูว่า เกิดเรื่องราวขึ้นกับ ชูเซี่ยสามสี่ครั้งล้วนเป็นเพราะเจ้ามิใช่หรือ”

หลี่เฉินเย่นตกตะลึง มองตรงไปยัง หลี่อวิ่นกัง ใบหน้าค่อยๆปรากฏให้เห็นถึงความเสียใจ แม้ว่าไม่อยากที่จะยอมรับ แต่ว่าความจริงก็คือความจริงวันอย่างค่ำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า