ตอนที่ 113 เงื่อนไขการแลกเปลี่ยน
เมื่อ ชูเซี่ยออกจากจวนไป ก็ถูกเชิญขึ้นรถม้า เดินทางมาถึงประตูทางเข้าวังหลวง
องค์รักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูวังเห็นนาง ก็ไม่ประหลาดใจ คล้ายกับทราบรู้แล้วว่าไม่นานนางจะต้องปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเดินเข้ามาคารวะ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหมอเวิน ฮ่องเต้มีรับสั่งว่าเมื่อท่านมาถึง ให้เชิญท่านไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักเจิงหยาง
ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นอย่างสุขุม “เชิญท่านองครักษ์นำทาง”
องค์รักษ์นำ ชูเซี่ยเดินเข้าไปบนเส้นทางของอุทยานในพระราชวังที่คดเคี้ยว บนเส้นทางของอุทยานมีดอกไม้หลากสีที่บานสะพรั่ง ทั่วอุทยานเต็มไปด้วยดอกไม้แลละต้นหญ้าที่มีค่า สุดท้ายก็สู้กุหลาบที่แผ่เลื้อยบนมุมกำแพงที่กำลังบานสะพรั่งอย่างสวยงามต้นนั้นไม่ได้ ชูเซี่ยไม่มีกะจิตกะใจที่จะชื่นชมทิวทัศน์ ภายในหัวสับสนวุ่นวาย ในใจมีเสียงของ เฉินอวี่จู๋ที่บอกว่าตั้งครรภ์ประโยคนั้นดังก้องอยู่ภายใน
เขากำลังจะเป็นบิดาแล้ว ควรที่จะเอ่ยแสดงความยินดีสินะ
นางพูดสัพยอกอยู่ชั่วครู่ แล้วผมของ ชูเซี่ยกูถูกลมเย็นพัดให้ยุ่งเหยิง แถมยังทำให้จิตใจที่สับสนของตนให้กลับมาดังเดิม มุมปากแฝงฝืนยิ้มออกมา
ทำทุกอย่างเพื่อหลบหนีจากวังแห่งนี้ สุดท้ายแล้ว นางก็ยังต้องกลับมายังที่แห่งนี้ด้วยตนเอง ตอนนี้นางยังมีความสามารถ ที่จะสู้กับฮ่องเต้ได้อีกหรือไม่ เขามีเพียงแผนการที่ยอดเยี่ยม นางมีบันไดปีนกำแพง ก่อนหน้านี้เขาคุกคามและบีบบังคับนาง เคยสนใจความปรารถนาของนางที่ไหนกัน ไม่มีแม้แต่ครึ่งหนึ่งของความจริงใจมอบให้ ที่แห่งนี้นางยังสามารถหาความจริงใจได้ที่ไหน
วันเวลาที่นางและหลี่เฉินเย่นอยู่ด้วยกันนั้นช่างแสนสั้น แต่ว่าลึกซึ้งถึงชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางลืมเลือน เข้าวังครานี้ด้วยฐานะบางอย่างที่ถูกกำหนด นางและเขาชั่วชีวิตนี้คงไม่สามารถพบกันได้อีกแล้ว ก่อนนี้ยังมีความทรงจำบางส่วนให้ระลึกถึง เมื่อเหยียบเข้ามาในประตูวังแล้ว ความทรงจำส่วนนี้ก็เป็นดั่งขี้เถ้าที่มอดสนิท
ก่อนหน้านี้ที่ ชูเซี่ยได้เข้ามาที่ประตูอุทยานเจิงหยาง ได้มีคนกราบทูลแก่ฮ่องเต้แล้ว เสี่ยวเต๋อจื่อมองนางอย่างกังวลบางอย่างก่อน ย่อกายคาวะ “บ่าวคารวะท่านหมอเวิน”
ชูเซี่ยมองเสี่ยวเต๋อจื่อแล้วเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้อยู่ด้านในหรือ”
เสี่ยวเต๋อจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆทันที โค้งตัวมาด้านหน้าแล้วเอ่ยกับ ชูเซี่ยว่า “ฮ่องเต้รอท่านอยู่นานมากแล้ว เชิญท่านหมอเวิน”
ชูเซี่ยผลักประตูเข้าไป ทำให้แสดงแดดทางด้านหลังของนางทะลุเข้ามาภายในตำหนักด้วยเช่นกัน สว่างไปทั่วทั้งตำหนัก มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ส่วมใส่เสื้อผ้าสีเหลืองเป็นประกายนั่งอยู่ มือของเขากอบกุหนังสือม้วนหนึ่งเอาไว้ กำลังใจจดใจจ่ออ่านอยู่นั้น พบว่ามีคนเข้ามา เขาเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตามองไปบนร่างของ ชูเซี่ย มองพุ่งตรงไปรอบๆใบหน้าของนาง เอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน “เจ้ามาแล้วหรือ”
ชูเซี่ยคุกเข่าลง “หม่อมฉัน ชูเซี่ยขอถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้นำหนังสือวางลง สายตาที่ดุดันเพ่งไปยังนาง “เจ้าจงจำไว้ เจ้าคือ เวินหน่วน มิใช่ ชูเซี่ย”
ชูเซี่ยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจในคำพูดนั้น สายตาตอบโต้อย่างไม่ตกใจกลัวสักนิดเดียว “ฝ่าบาททำไมต้องหลอกคนอื่นๆทั้งที่ท่านเองก็รู้สึกว่าไม่จริง หม่อมฉันก็คือ ชูเซี่ย แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนไม่ใช่ เวินหน่วน”
ใบหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับข่มเอาไว้ไม่แสดงออกมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าคือจักรพรรดิ ข้ากล่าวว่าเจ้าคือ เวินหน่วนก็คือ เวินหน่วน”
ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้ นั่นข้าน้อยก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเอ่ย ทั้งหมดล้วนตามที่ฝ่าบาทพอพระทัยเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้วางหนังสือลง ก้าวเดินลงมาอยู่ด้านหน้าของนาง พลของความโหดเหี้ยมเล็กน้อยดูน่าเกรงขาม มองดูความรู้สึกบนใบหน้าของนางคล้ายสอบสวน ทันใดนั้น เขายื่นมือออกมาจับที่คางของ ชูเซี่ยทันที เอ่ยอย่างมีโทสะ “พอเกิดเรื่องกับเขา เจ้าก็รีบเข้าวัง ช่างเป็นความรู้สึกดั่งเช่นสามีภรรยาเสียจริง”
ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้าง “หม่อมฉันกลับมาอยู่ที่นี่สามเดือน แต่ว่าไม่เคยปรากฏตัวมาโดยตลอด แม้กระทั่งไม่เคยได้พบกับเขาสักครั้ง ฮ่องเต้ทรงทราบว่าเพราะเหตุใดหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ปล่อยมือจากนาง แต่สายตากลับดุดันเช่นเดิม “เจ้าเอ่ยว่าไม่เคยพบเลยจริงๆเช่นนั้นหรือ?”
มุมปากของชูเซี่ยปรากฏรอยยิ้มที่คล้ายกลับเกียจคร้านมากมายออกมา “ข้างกายของหลี่เฉินเย่นล้วนมีสายสืบของฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา หากเขาพบกับข้าจริงๆ ฝ่าบาทก็คงหาหม่อมฉันพบตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเช่นนี้บีบให้หม่อมฉันปรากฏตัวออกมาหรอกเพคะ”
ฮ่องเต้แค่ยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้านึกว่าตนเองนั้นเฉลียวฉลาดหรือ ในเมื่อเจ้าไม่ปรากฏตัวเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าจึงยอมให้เจ้าถึงตอนนี้แต่เจ้าก็ไม่มา”
ชูเซี่ยยิ้มออกมา คนก็ขัดแย้งเช่นนี้แหละ เขาใช้วิธีการร้อยแปดพันเก้าที่บีบให้นางปรากฏตัวออกมา พอนางออกมาแล้ว กลับยังต้องคิดเล็กคิดน้อยถึงจุดประสงค์การมาของนาง
แต่ถึงแม้ว่าในใจจะตระหนักดีว่าตอนนี้ยังมีคำพูดที่อย่างจะเอ่ยออกมา นางจึงเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งๆ ว่า “ที่หม่อมฉันมาไม่ใช่เพราะหลี่เฉินเย่น แต่คือข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเพราะหม่อมฉันก่อมันขึ้น จึงไม่ยินยอมให้ผู้ใดมารับโทษแทนตนเอง ยังจำได้อีกว่าตอนที่ ชูเซี่ยเข้าวังเพื่อรักษาอาการปวดศีรษะของฮ่องเต้ ชูเซี่ยเคยกล่าวว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งให้กับผู้ใด คำพูดนี้ไม่ได้หลอกลวง แม้ช่วงเวลาที่ข้าอยู่ในจวนอ๋อง มีความทรงจำในอดีตกลับคืนมา หม่อมฉันก็ไม่คิดที่จะอยู่ร่วมกับเขา ประจวบเหมาะกับครั้งแรกที่หม่อมฉันเกิดเรื่องขึ้นจึงได้จากไป ยังไม่เคยคิดที่จะพบเจอกับเขาอีก หากในใจของหม่อมฉันยังมีความรักและห่วงใยหลงเหลืออยู่ ฮ่องเต้คิดว่าเหตุใดหม่อมฉันจึงต้องแอบซ่อนที่อยู่ของตนไม่ให้เขาทราบละเพคะ ทุกคนล้วน หนิงอานอ๋องมีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งต่อพระชายาที่เสียชีวิตไปแล้วเพียงใด หม่อมฉันคิดว่าดูเหมือนเป็นภาระมากกว่า แท้จริงแล้วระยะเวลาที่ข้ากับเขาอยู่ร่วมกันนั้นไม่ได้นาน อย่างน้อยในใจของข้า ความรู้สึกระหว่างพวกเรายังไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นนี้ ดังนั้นข้าใช้โอการนี้จากไป เพียงคนเรากำหนดหรือจะสู้ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด ท้ายที่สุดแล้วหม่อมฉันก็ยังต้องกลับมา”
คำพูดพวกนี้ พูดเหมือนกับว่ามีจิตใจที่สูงส่ง ทำให้คนยกข้อเสียออกมาไม่ได้สักนิดเดียว ฮ่องเต้เพ่งมองไปยังนาง โดยใช้แรงกดดันที่ดูบีบบังคับ เพียง ชูเซี่ยแสดงความไม่มั่นใจออกมา ฮ่องเต้ก็สามารถสังเกตเห็นได้ทุกเมื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...