ตอนที่ 117 โดนกดดัน
ชูเซี่ยกดที่มือของนาง สายตามองไปทางหลี่เฉินเย่นแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง พระชายาอาจจะหนาวเย็น ท่านถอดเสื้อคลุมด้านนอกให้พระชายาคลุมร่างกายไว้ ข้าจะพานางไปส่งพักผ่อนด้วยตัวเองเพคะ”
หลี่เฉินเย่นมองชูเซี่ยอย่างระแวงสงสัย พร้อมมองไปยัง เฉินอวี่จู๋ แม้ร่างกายเขาจะเป็นบุรุษ เขาไม่เคยคาดคิดถึงเรื่องด้านนั้นเลย เห็นสายตาอันอบอุ่นของ ชูเซี่ยเหมือนมีความที่ลึกซึ้ง จึงเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็เอาไปใช้ได้เลย” เขาถอดเสื้อคลุมสีดำสนิทออกมา คลุมลงบนตัวของ เฉินอวี่จู๋ ย่อตัวลงเอ่ยถามว่า “ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
เฉินอวี่จู๋ควบคุมจิตใจให้สงบนิ่ง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอบพระทัยเพคพท่านอ๋อง ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
ชูเซี่ยหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ความรักใคร่เล็กๆน้อยๆระหว่างสามีภรรยาสินะ ทำให้คนดีใจมีความสุขเสียจริง”
ฮ่องเต้ก็ผงกศีรษะเล็กน้อย หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “อืม แท้จริงแล้วมีคนดีใจและมีความสุขสินะ อวี่จู๋ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือ หากยังรู้สึกไม่ปกติ ก็รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ต้องคิดถึงบุตรในครรภ์ในมาก”
เฉินอวี่จู๋เอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “เสด็จพ่อ ลูกดีขึ้นมากแล้วเพคะ ทำให้ทุกคนหมดสนุก อวี่จู๋ขอประทานอภัย”
ฮองเฮาทรงแย้มพระสรวลเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ข้าให้สั่งให้คนตุ๋นป๋ายเหออู่หัวกั๋วแล้ว เมื่อครู่ได้ยินเสียงเจ้าไอเล็กน้อย ดื่มสักนิดเถอะ”
“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ” เฉินอวี่จู๋ย่อกายขอบพระทัย
ชูเซี่ยย่อลง เพียงแต่ที่นั่งนี้ใช้ที่เบาะรองสีเหลืองอ่อนที่หนานุ่ม อีกสักพักเมื่อ เฉินอวี่จู๋ลุกขึ้น จะต้องเห็นได้ว่าบนเบาะรองนั้นมีรอยเลือด สิ่งนี้ไม่อาจปิดปังทุกคนได้ นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยกับชิงหลันที่อยู่ด้านหลังว่า “เจ้าไปที่ห้องบรรทมของข้าแล้วนำหมอนนุ่มที่ข้าใช้มาให้พระชายารองนั่ง เบาะรองนี้ต่ำและบางเกินไป ร่างกายของพระชายาผอมบอบบาง กลัวว่าจะนั่งแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว”
ฮ่องเต้มองที่นางคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยว่า “หาได้ยากที่เจ้าจะมีใจในส่วนนี้”
ชูเซี่ยหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทคำพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ” นางมองยังหลี่เฉินเย่น แล้วเอ่ยอย่างมีรอยยิ้มว่า “บุรุษอย่างเช่นพวกท่านนี้ จริงๆแล้วคือละเอียดอ่อนไม่พอ ท่านอ๋องควรจะเรียนการแสดงความรักต่อพระชายาจากท่าน เจิ้นหยวนอ๋องให้มาก ๆ นะเพคะ”
หลี่เฉินเย่นไม่สามารถที่จะอธิบายความจริงออกมาได้ และสายตาของฮ่องเต้ที่เปล่งประกายออกมา เขาก็ไม่ควรที่จะเอ่ยถามสิ่งใดขึ้น เพียงเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ตัวข้าไม่ละเอียดอ่อนจริง ๆ ยังคิดอยากได้คำชี้แนะจากท่านหมอเวิน”
ฮ่องเต้เอ่ยตำหนิเบาๆ ว่า “ยังจะเรียกท่านหมอเวินอยู่อีก ควรจะเปลี่ยนการเรียกเป็นเสด็จแม่ เวินได้แล้ว ”
หลี่เฉินเย่นคิ้วกระตุกขึ้นหลายครั้ง หัวใจมีความเจ็บปวดแตกกระจายออกมาอย่างรุนแรง เสด็จแม่หรือ ช่างน่าขันสิ้นดี นางนั่นควรที่จะเป็นภรรยาของเขาต่างหาก
เขาเอ่ยด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ลูก รับพระบัญชาพะย่ะคะ”
ในใจของ ชูเซี่ยก็รู้สึกไม่ดีอย่างมาก แต่บนใบหน้ากลับยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้อย่างเป็นปกติ มองที่ชามซุปที่เป็ยถ้วยลายครามสีขาวขอบสีทองที่ดูสวยงามตรงหน้า นางช่างดูโศกเศ้า ต้องแอบซ่อนราคเอาไว้ข้างหลัง ไม่ให้ผู้ใดเหลือบมองร่องรอยนั้น
บรรยากาศดูคล้ายกับว่าต่างฝ่ายต่างยืนกรานไปแล้ว หลี่เฉินเย่นจึงไม่มีหนทางที่จะบีบใบหน้าที่มีรอยยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ดวงตาของเขาเกือบจะไม่มีที่ไหนสามารถวางสายตาได้ เช่นเดียวกันกับ ชูเซี่ย ทำได้เพียงจ้องถ้วยชามที่วางอยู่ด้านหน้าของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฮองเฮาอย่างไรก็คือฮองเฮา ไม่นานก็ทรงทำให้ฉากด้านหน้ากลับมาเป็นปกติเช่นเดิม นางยิ้มหัวเราะเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาทเพคะ ได้ยินมาว่าพ่อครัวที่รับผิดชอบปรุงอาหารในค่ำคืนนี้มาจากเจียงหนาน หม่อมฉันจึงตั้งตารอที่จะลิ้มลองอาหารในค่ำคืนนี้อย่างมากเลยละเพคะ”
ฮ่องเต้อืมตอบรับแล้วเอ่ยว่า “ก็ดี ทุกคนก็คงหิวกันแล้ว ” เขาหันไปกวักมือเรียก เสี่ยวเต๋อจื่อรีบเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันจะรีบสั่งให้คนยกอาหารออกมาเดี๋ยวนี้พะย่ะคะ”
อาหารมื้อนี้ แท้จริงแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อย แม้ว่า ชูเซี่ยจะนั่งอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากหลี่เฉินเย่น แต่ว่าระยะทางที่ใกล้เหมือนกับไกลออกไป จนเขากลับคิดว่าช่างไกลโพ้นอย่างสุดหล้าฟ้าเขียว กระทั่งเขาไม่สามารถหันหลับไปมองนางได้ เพียงใช้แสงสว่างที่หางตารับรู้ถึงการมีตัวตนนาง
เฉินอวี่จู๋ก็กินอะไรไม่ลง อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา กลัวจะถูกคนมองเห็นร่องรอยนั้น ดังนั้นตลอดมื้ออาหารนางจึงบอกว่าไม่ค่อยมีความอยากอาหาร จึงกินน้อย แล้วก็นั่งนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น
คืนวันนี้ท่านอ๋องเก้าพูดคุยมากกว่าปกติ คล้ายกับอยู่ในบรรยากาศของความกระตือรืนร้น และฮ่องเต้ก็ดูเหมือนว่าจะสนุกสนานอย่างมากเช่นกัน ยังมีนางรำที่มาช่วยทำให้สนุกนานยิ่งขึ้น การเต้นรำแบบหมุนตัวเรียงในสายตาช่างดูสับสน ทำให้ ชูเซี่ยถึงกับมึนงง แต่ว่านางไม่สามารถลุกออกจากที่นั่งประจำตำแหน่งได้ กลัวว่าอีกพัก เฉินอวี่จู๋จะลุกลี้ลุกลนเพราะเผยพิรุธออกมา
ชิงหลันได้นำเบาะรองสีเขียวเข้มของนางกลับมา ชูเซี่ยจึงให้ เฉินอวี่จู๋ลุกขึ้น แล้วนำเบาะรองสอดใส่เข้าไปที่เก้าอี้ที่ เฉินอวี่จู๋นั่งอยู่ หลี่เฉินเย่นมองไปแค่แวบเดียวก็เห็นว่าที่บนเบาะรองนั่งสีเหลืองอ่อนนั้นมีรอยเลือดปรากฏอยู่ ทั่วร่างกายก็เย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อทันที เขารู้ว่าเรื่องการหลอกว่าตั้งครรภ์ของ เฉินอวี่จู๋ไม่นานก็ถูกเสด็จพ่อรับทราบ ถึงเวลานั้นคนที่จะได้รับความหายนะก็ต้องมีมากมายแล้ว บทลงโทษของการหลอกลวงเบื้องสูงง คือตัดหัวซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรง เริ่มจากหมอหลวงทั้งสองคนที่ต้องร่วมหัวจมท้ายตายร่วมกัน ยังมีเสี่ยวเต๋อจื่อ ฮองเฮาและคนในจวนหนิงอาน ทุกคนล้วนไม่มีใครเล็ดรอดไปได้
เขาส่งสายตาที่ซาบซึ้งไปยัง ชูเซี่ย มุมปากของ ชูเซี่ยฉีกยิ้มเบาๆ แล้วกลับสู่รอยยิ้มที่มีความเจ็บปวดอยู่ในใจเช่นเดิม และจากรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเจ็บปวดในใจของ ชูเซี่ยนั้น หัวใจของเขาก็เอ่อล้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน แม้ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ยินยอม ตอนนี้เขาก็ได้ทำร้ายนางแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...