ตอนที่ 124 พิษแห่งราชวงค์
งานเลี้ยงค้อนรับยามค่ำคืนถูกจัดขึ้นในตำหนักเจิ้งหยาง
ตอนที่หลี่เฉินเย่นเดินทางกลับจวน ฉ่ายเวินก็ยืนให้การต้อนรับอยู่หน้าจวน
“ศิษย์พี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!” ดวงตาของฉ่ายเวินเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ความคิดถึงฉายชัดในดวงตากลมโตของนาง
หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าของฉ่ายเวินพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงเสียแล้ว ศิษย์พี่ช่างไม่ได้เรื่อง!”
ฉ่ายเวินแย้มยิ้มงดงาม นางก้าวไปจับมือของหลี่เฉินเย่นอย่างสนิทสนม “แค่กลับมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!”
หลี่เฉินเย่นไม่เห็นเฉินอวี่จู๋ออกมาต้อนรับตนก็รู้สึกแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาที่จวนนางก็มักจะยืนรอต้อนรับเขาอยู่เสมอ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามสาวใช้ในจวนที่อยู่ด้านข้าง “พระชายาเล่า?”
สาวใช้ผู้นั้นก็เอ่ยตอบ “ท่านอ๋อง ระยะนี้พระชายาสุขภาพไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ นางกำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือน”
ฉ่ายเวินก็เอ่ยเสริม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางล้มป่วยมาหลายวันแล้ว เมื่อครู่ก็บอกว่าอยากออกมาต้อนรับท่านด้วยตนเอง โชคดีที่ข้ายังอยู่จึงสั่งให้คนเฝ้านางไว้ นางจึงจะยอมพักผ่อนแต่โดยดี!”
หลี่เฉินเย่นพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “แล้วทางวังส่งคนมาบ้างหรือไม่”
ฉ่ายเวินก็ตอบกลับเสียงหวาน “มาหลายครั้งเลยเจ้าค่ะ ทั้งยังส่งของบำรุงมามากมายเพื่อให้นางบำรุงร่างกายของตนเองให้ดี ทุกครั้งที่มาก็ถามตลอดว่ามีครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่”
ฉ่ายเวินเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ผิดปกติ? อะไรหรือเจ้าคะ?”
หลี่เฉินเย่นนึกไปถึงเรื่องที่เฉินอวี่จู๋กเรื่องตั้งครรภ์ปลอมขึ้นมา เรื่องนี้ฉ่ายเวินไม่รู้ ภายในจวนอ๋องผู้ที่รู้ว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นเรื่องโกหกก็มีเพียงแค่หลางเยว่และพ่อบ้านเท่านั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงและส่งผลกระทบในวงกว้าง ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ไม่มี เปิ่นหวางถามถึงชูเซี่ยเท่านั้น!”
ฉ่ายเวินคลายความสงสัยลง “สถานการณ์ภายในวังพวกเราก็รู้ไม่แน่ชัด แต่ทว่าข้าได้ยินมาว่าพี่สาวถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณเจ้าค่ะ!”
หลี่เฉินเย่นตื่นตระหนกขึ้นมารีบร้อนถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ฉ่ายเวินส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดรู้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากไปสืบเช่นกัน แต่ทว่าในวังหลวงกลับถูกปิดข่าวไว้เงียบ เบาะแสนี้ที่ข้ารู้ก็เพราะจูฟางหยวนเป็นคนนำมาบอกเจ้าค่ะ”
“จูฟางหยวน? เหตุใดเขาจึงรู้ได้” หลี่เฉินเย่นถามอย่างแปลกใจ
“ยามนี้จูฟางหยวนได้เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์แล้วเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าเป็นเพราะหลิงกุ้ยเฟยเป้นผู้เสนอชื่อเขาให้แก่ฝ่าบาท” ฉ่ายเวินตอบคำถาม
สีหน้าของเฉินเย่นคลายกังวลลง ไม่ว่าจูฟางหยวนจะมีใจให้แก่ชูเซี่ยจริงหรือไม่แต่ที่เขารู้ก็คือชายผู้นั้นจะต้องปกป้องชูเซี่ยอย่างสุกความสามารถของเขาแน่ การที่มีจูฟางหยวนอยู่ในวังกับนางเขาค่อยเบาใจลง
หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามตานเสวี่ย “พระชายาป่วยเป็นอะไรหรือ นางเป็นอย่างไรบ้าง”
ตานเสวี่ยสาวใช้ข้างกายของเฉินอวี่จู๋ก็เอ่ยขึ้น “เรียนท่านอ๋อง ระยะนี้พระชายากินอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง หากกินเข้าไปก็จะอาเจียนออกมา ทั้งยังเวียนหัว ผมก็ร่วง หลายวันก่อนยังดีอยู่แท้ๆแต่ตอนนี้แม้แต่จะยืนยังไม่มีแรงด้วยซ้ำ!”
ชายหนุ่มถึงกับตกใจ “ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียว เชิญท่านหมอมาตรวจอาการแล้วหรือยัง”
ตานเสวี่ยก็เอ่ยตอบ “หมอหลวงมาตรวจอาการแล้วเจ้าค่ะแต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร แต่เทียบยาที่เขาจัดมาให้ก็ไม่ทำให้พระชายาดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย!”
หลี่เฉินเย่นหยุดฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเอ่ย “เจ้ากลับไปดูแลนางก่อน เปิ่นหวางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะตามไปดูนาง!”
ตานเสวี่ยเอ่ยอย่างดีใจ “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะรีบกลับไปบอกพระชายาให้ทราบ พระชายาจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
กล่าวจบนางก็วิ่งกลับไปอย่างดีใจ
ฉ่ายเวินยืนนิ่งไป เมื่อนางได้ยินว่าหลี่เฉินเย่นจะไปเยี่ยมผู้หญิงคนนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งยังขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “ศิษย์พี่ คืนนี้ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะให้ท่าน หากไม่เพียงไม่รีบเตรียมตัวยังจะไปเยี่ยมนางอีกหรือ”
หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “นางป่วยหนักถึงเพียงนี้หากเปิ่นหวางไม่ไปดูนางหน่อยก็ไม่อาจวางใจลงได้”
ฉ่ายเวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเลื่อนลอย “ศิษย์พี่หลงรักนางเข้าแล้วหรือเจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นพูดออกไปจากใจจริง “เฉินหยวนชิ่งช่วยชีวิตเปิ่นหวางไว้ครั้งหนึ่ง หากไม่มีเขาเปิ่นหวางคงตายในสนามรบไปแล้ว!”
ฉ่ายเวินตื่นตระหนกขึ้นมา “ศึกนี้คงอันตรายมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างขมขื่น “การรบไม่ใช่การละเล่น มันเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตของตน อันตรายมีรายล้อมอยู่รอบด้าน หากประมาทเพียงครู่เดียวก็ถึงตายได้!”
ใบหน้าของฉ่ายเวินเศร้าหมองลง “ความจริงแล้วข้าไม่ชอบให้ศิษย์ออกไปรบราฆ่าฟันเลยเจ้าค่ะ เป็นเพียงหนอนหนังสือแบบเมื่อก่อนก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ”
สีหน้าของหลี่เฉินเย่นราบเรียบ “ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดสงครามหรอก ทุกอย่างมันเกิดก็เพราะตกลงกันไม่ได้ต่างหากเล่า บางครั้งสงครามก็เป็นวิธีที่นำมาซึ่งการยุติและความสันติได้เช่นกัน”
ฉ่ายเวินส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ การสู้รบก็มีแต่เสียเลือดเสียเนื้อ จะนำมาซึ่งความสันติได้อย่างไรกัน”
คำพูดพวกนี้มันค่อนข้างขัดแย่งในตัวเองไม่น้อย หลี่เฉินเย่นรู้สึกอับจนปัญญาที่จะอธิบายให้นางเข้าใจ เขาจึงตัดสินใจเงียบและเปลี่ยนเรื่อง “เปิ่นหวางจะกลับเรือนไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย คืนนี้จะพาเจ้าเข้าวังไปพบพี่สาว!”
“พี่สาวถูกกักบริเวณอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ จะพบได้อย่างไรกัน”
หลี่เฉินเย่นหยุดฝีเท้าก่อนจะหันมาบอกด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพาเจ้าเข้าวังด้วยอย่างไรเล่า!”
ฉ่ายเวินงุนงงอยู่สักพักจากนั้นก็เข้าใจและส่งเสียงร้อง ‘อ๋อ!’ ออกมา
ตอนที่หลี่เฉินเย่นพบหน้าของเฉินอวี่จู๋ครั้งแรกแม้ว่าชายหนุ่มจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแต่กระนั้นก็ตื่นตะลึงอยู่ดี แค่ระยะเวลาเพียงเดือนเดียวที่เขาไม่พบนาง นางกลับเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน แม้ว่าวันนี้นางจะแต่งกายและประทินโฉมอย่างดีเพื่อรอให้การต้อนรับเขาแต่ทว่าเขาก็ยังสามารถเห็นใบหน้าที่ซีดจนกลายเป็นสีเหลืองของนางได้ ดวงตาของนางทั้งหม่นหมองและมีรอยคล้ำ ริมฝีปากแห้งผาด แม้ว่าจะทาชาดสีแดงกลบแต่ก็ยังเห็นขอบปากสีเป็นสีดำคล้ำได้
“ท่านอ๋อง ข้าคงน่าเกลียดมากใช่หรือไม่” เฉินอวี่จู๋มองเห็นสายตาที่ฉายแววตกใจของเขาก็เอ่ยถามขึ้น
หลี่เฉินเย่นรีบกลบเกลื่อนอาการตกใจทันทีจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เจ้าก็พักผ่อนให้มากเถิด แล้วหมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...