ตอนที่ 128 คำพูดสุดท้าย
เมื่อกลับมาถึงวังหลวง ในหัวของชูเซี่ยก็เอาแต่คิดถึงคำพูดที่หลิวมี่เหอพูดกับนาง ‘ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าตายเสีย หากว่าเจ้าตายไปสักคน ข้าจึงจะสามารถครอบครองท่านอ๋องไว้ได้ ยังมีเฉินอวี่จู๋อีก นางไม่ได้ป่วยหรอก เป็นข้าที่วางยาพิษนางเอง ยาพิษชนิดนี้ไม่มียาแก้หรอกนะ ต่อให้ฝีมือการแพทย์ของเจ้าจะเลิศล้ำเพียงใดหรือต่อให้เจ้าใช้เวลาสามปีห้าปีเจ้าก็ไม่อาจบอกได้อยู่ดีว่ามันเป็นยาพิษอะไร แต่ว่านางผู้นั้นคงไม่อาจอยู่รอได้ถึงตอนนั้นหรอกนะ เกรงว่าแค่นางมีเวลาสามถึงห้าวันก็นับว่ามากแล้ว!’
คำพูดเหล่านี้เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวของชูเซี่ย นางรู้ว่าหลิวมี่เหอตั้งใจจะบอกอะไรบางอย่างกับนาง เฉินอวี่จู๋ถูกวางยาพิษงั้นหรือ และหากพิษกำเริบไปแล้วก็เหลือเวลาไม่ถึงห้าวันเท่านั้น นางกำลังบอกเป็นนัยเช่นนี้หรือไม่นะ แล้วคำพูดก่อนหน้าที่นางเอ่ยถึงท่านอ๋องเล่า มันต้องมีความหมายอะไรสักอย่างแน่ ไม่เช่นนั้นมี่เหอก็คงไม่เอ่ยออกมาเช่นนั้น
ความจริงแล้วในใจของชูเซี่ยมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา นั่นก็คือหลิวมี่เหอตั้งใจสวมบทบาทเป็นฉ่ายเวินเพื่อพูดประโยคเหล่านั้นออกมา เพราะว่ามีฉ่ายเวินอยู่ภายในห้องด้วยนางจึงไม่อาจพูดออกมาได้ตรงๆ บางทีนางอาจถูกฉ่ายเวินกุมความลับบางอย่างไว้ นางกลัวฉ่ายเวินจึงไม่กล้าพูดความจริงออกมายามที่อยู่ต่อหน้านาง หรือเป็นเพราะฉ่ายเวินต้องการครอบครองหลี่เฉินเย่นไว้เพียงผู้เดียวดังนั้นนางจึงกำจัดผู้หญิงทุกคนที่อยู่ข้างกายชายหนุ่มทิ้งเสีย ตอนนั้นที่นางถูกพิษตัวนางเองก็เคยสงสัยในตัวฉ่ายเวิน มาตอนนี้เมื่อเฉินอวี่จู๋เองก็ล้มป่วยอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ทว่าอาการของเฉินอวี่จู๋ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายกับคนถูกพิษแม้แต่น้อย นางลองใช้เข็มทองตรวจเลือดไปแล้ว มันไม่มีพิษเจือปนเลยสักนิด ความเป็นพิษจะแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วไหลเวียนผ่านหลอดเลือดในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย แต่ทว่าทุกส่วนในร่างกายของนางไม่มีพิษเจือปนอยู่เลย
หากหลิวมี่เหอหมายความเช่นนั้นจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเฉินอวี่จู๋ก็คงเหลือเวลาอยู่อีกไม่นานแล้ว
แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่าเฉินอวี่จู๋ถูกพิษจริงๆ แต่ทว่านางก็ไม่กล้ามั่นใจนัก นางเอายาแก้พิษเม็ดสุดท้ายของท่านอาจารย์ให้เฉินอวี่จู๋กิน หากว่านางถูกพิษจริงๆเชื่อว่ายาของท่านอาจารย์จะต้องรักษานางได้แน่
แต่ทว่าอาการของเฉินอวี่จู๋กลับไม่ดีขึ้นเลย นี่ก็แสดงว่านางไม่ได้ถูกพิษจริงๆ ในวันถัดมานางก็ยังอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้วมากนัก หลังจากอาเจียนเป็นเลือดแล้วร่างทั้งร่างของนางก็ทรุดลง ปิดเปลือกตานิ่ง ลมหายใจหอบถี่กระชั้น
ชูเซี่ยรู้สึกอับจนหนทาง นางจึงให้เชียนซานไปตามจูเก๋อหมิงเข้าวัง ทั้งคู่ปรึกษาหารือกันเรื่องอาการของเฉินอวี่จู๋แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อะไร ชูเซี่ยฝึกฝนการแพทย์ของสมัยโบราณและรักษาคนนับไม่ถ้วนด้วยเข็มทองคำของนาง เมื่อสามปีก่อนที่นางยังอยู่ในมณฑลกวางตุ้งนางได้รับฉายาว่าหมอฝังเข็มเทวดา นางสามารถช่วยผู้ป่วยที่เหลือเพียงลมหายใจได้ แต่ตอนนี้นางกลับไม่สามารถรับมือกับโรคของเฉินอวี่จู๋ได้
ในยุคปัจจุบันที่นางจากมา นางยังเจอโรคที่รักษาไม่หายหลายอย่าง ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับความตายนางกลับรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอยู่ทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้กลับทวีความเสียใจมากขึ้นไปอีก เพราะคนที่นอนยู่บนเตียงคือเฉินอวี่จู๋ นางเป็นภรรยาของเฉินเย่น เป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเฉินเย่นไว้ ยังมีนางรู้สึกผิดกับเฉินอวี่จู๋เหลือเกิน เพราะว่าแม้ว่าเฉินอวี่จู๋จะได้ชื่อว่าเป็นพระชายาหนิงอานอ๋อง แต่ในหัวใจของหนิงอานอ๋องกลับไม่เคยเป็นของนาง
หัวใจของจูเก๋อหมิงก็โศกเศร้าไม่แพ้กัน ชายหนุ่มเอ่ยปลอบใจ “เจ้าทำสุดความสามารถ ไม่จำเป็นต้องตำหนิไปหรอก อีกอย่างเจ้าเองก็ไม่เคยติดค้างอะไรนางเสียหน่อย ก่อนที่นางจะปรากฎตัวเจ้าก็อยู่กับเฉินเย่นแล้วนี่”
ชูเซี่ยยิ้มขมขื่น “ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถิด แต่ทว่าข้าก็ติดค้างนางอยู่ดี”
จูเก๋อหมิงถอนหายใจออกมา “ตอนนั้นหากว่าพวกเจ้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้วทิ้งทุกอย่างหนีไปตอนนี้ก็คงไม่เป็นเช่นนี้หรอก!”
ชูเซี่ยมองจูเก๋อหมิง “พูดน่ะมันง่ายแต่ทำจริงๆมันยากเหลือเกิน ทุกคนต่างก็เป็นญาติสนิทมิตรสหายทั้งนั้นจะให้ไม่สนใจและทิ้งพวกเขาได้อย่างไรกัน ต่อให้พวกเราหนีไปได้แต่มันแลกกับชีวิตคนมากมายจะไปมีความสุขได้อย่างไรกันเล่า แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะยากลำบากแต่ข้าเชื่อว่าพวกเราจะต้องผ่านมันไปได้แน่”
“เจ้ามองโลกในแง่ดีถึงเพียงนี้ข้าก็วางใจ ยามนี้เจ้าอยู่ในวังหลวงหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาพวกเราก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้อีกแล้ว การเข้าวังแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” จูเก๋อหมิงเอ่ยอย่างไม่สบายใจ หลายวันมานี้ไม่มีวันใดเลยที่เขาจะผ่านไปอย่างสบายๆ เขาละอายใจต่อสหายของตน ละอายใจต่อจิตใจของตนเอง ทุกๆวันเขาเหมือนกับศพเดินได้ สิ่งเดียวที่พอจะยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาไว้ได้ก็คงมีเพียงแค่การทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยเท่านั้น
ชูเซี่ยเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่แพ้กัน จึงเอ่ยปลอบโยน “การที่ข้าเลือกที่จะเข้าวังนั่นก็มาจากการที่ข้าได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าข้ามีกำลังมากพอที่จะปกป้องตนเองได้ ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า แต่ภายนอกวังหลวงท่านสามารถดูแลเฉินเย่นได้มากกว่าข้าเพราะสถานการณ์ของเขาอันตรายกว่าข้ามากนัก”
จูเก๋อหมิงมองนางด้วยสายตาที่มืดมน “เรื่องมาจนถึงตอนนี้เจ้ายังจะกังวลแต่เรื่องของเขา!”
ชูเซี่ยไม่กล้าเอ่ยอะไร นางเพียงแค่ก้มหน้ามองดูกระเป๋าเข็มทอง นางเคยใช้มันรักษาผู้คนมากมายแต่ทว่าครั้งนี้นางจนปัญญาจริงๆ
อาการของเฉินอวี่จู๋นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ตอนแรกๆนางยังสามารถกินโจ๊กได้อยู่แต่ทว่าต้องค่อยๆใช้เวลา แต่มาตอนนี้นางกินอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆมีฝนตกโปรยปรายลงมาช้าๆ ผ่านไปไม่นานฝนก็ค่อยๆตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ดังเป็นระยะๆไม่หยุดหย่อน จากฝนปอยเล็กๆก็ค่อยๆกลายเป็นฝนห่าใหญ่
จนถึงตอนนี้เฉินอวี่จู๋ก็ยังไม่อาจหลับตาลงได้ ชูเซี่ยเองก็คอยอยู่ข้างๆนางเพื่อดูอาการนางอย่างใกล้ชิด
แต่เมื่อถึงช่วงเวลายามโฉ่วเฉินอวี่จู๋ก็ค่อยๆฟื้นคืนสติขึ้นมา หูของนางได้ยินเสียงฝนที่ตกกระหน่ำอยู่นอกหน้าต่างนางพยายามอย่างยิ่งที่จะร้องตะโกนออกมา “ท่านหมอเวิน!”
แท้จริงแล้วชูเซี่ยก็นั่งอยู่ข้างกายนางมาตลอด เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงเรียกของเฉินอวี่จู๋นางก็เงยหน้าขึ้นมาและขานรับจากนั้นก็เอื้อมมือไปกุมมือของนางไว้ “ข้าอยู่นี่!”
ตานเสวี่ยและเสี่ยวหลานเองก็อยู่ข้างกายนางมาตลอดเช่นกัน ทั้งคู่รีบถลาไปเกาะอยู่ข้างเตียงก่อนจะเอ่ยถาม “พระชายา ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”
ดวงตาของเฉินอวี่จู๋เป็นประกายสดใสยามที่หันไปพูดกับตานเสวี่ยและเสี่ยวหลาน “ข้ารู้สึกหิวนิดหน่อย พวกเจ้าไปเตรียมโจ๊กให้ข้าหน่อยเถิด”
เมื่อตานเสวี่ยและเสี่ยวหลานได้ยินเช่นนั้นก็ยินดียิ่งนัก เพราะหลายวันมานี้พระชายาของพวกตนกินอะไรไม่ลง แม้กระทั่งน้ำแกงนางก็ยังส่ายหน้าไม่ยอมดื่ม จนมาตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพระชายาอยากกินอาหารแสดงว่านางคงใกล้จะหายแล้ว
เฉินอวี่จู๋สิ้นลมในเที่ยงของวันถัดไป แม้ว่าชูเซี่ยจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ทว่าเมื่อได้ยินข่าวนี้นางก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของตนเองได้อยู่ดี
ฝนตกหนักลงมาถึงสามวันสามคืนราวกับว่าสรวงสวรรค์กำลังหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารนาง สามวันมานี้ไม่มีช่วงใดที่ฝนหยุดตกเลย
หลังจากพิธีศพของเฉินอวี่จู๋ผ่านพ้นไป หลี่เฉินเย่นก็คแอบเข้าวังมาครั้งหนึ่ง สภาพของชายหนุ่มดูทรุดโทรมมาก แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เคยรักเฉินอวี่จู๋แต่ทว่าเฉินอวี่จู๋ก็มีใบหน้าคล้ายกับหลิวหยิงหลงเหลือเกิน มันทำให้เขาคิดถึงวันที่ชูเซี่ยในร่างหลิวหยิงหลงตาย ความรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายนั่นก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ยามที่อยู่ในตำหนักฉ่ายเหว่ย ชายหนุ่มโอบกอดร่างของชูเซี่ยไว้แน่นราวกับว่าหากเขาคลายมือแม้แต่นิดเดียวร่างที่ถูกฝังลงใต้ดินนั่นจะกลายเป็นตัวของชูเซี่ยเอง
หลังจากที่เฉินอวี่จู๋ตาย ฉ่ายเวินก็ออกจากวังด้วยเหตุผลที่ว่านางไม่ไว้วางใจให้หลี่เฉินเย่นอยู่ตามลำพัง นางจึงต้องการออกจากวังไปอยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงนี้
ตอนที่หญิงสาวกำลังออกจากวัง ชูเซี่ยหันมาพูดกับนางด้วยสายตาว่างเปล่า “ฉ่ายเวิน ในโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่ใช่เพียงแค่เราพยายามอย่างหนักก็สามารถได้ของสิ่งนั้นมาครอบครองได้นะ”
ฉ่ายเวินก็ยิ้มออกมา “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ใช่ว่าขยันหรือพยายามก็สามารถได้มาครอบครอง แต่ทว่าหากไม่พยายามก็จะไม่มีวันได้มาครอบครองแน่นอนเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็เงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “แต่ทว่าในโลกใบนี้ก็มีคนที่โชคดีอยู่มากเช่นกัน ทั้งที่ไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่างแต่กลับได้สิ่งนั้นมาครอบครองและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ฟ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
“เฉินอวี่จู๋ตายแล้วเจ้ามีความสุขถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” ชูเซี่ยจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
ฉ่ายเวินยิ้มออกมา “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้มีความสุขเสียหน่อย!” นางหันมามองตอบชูเซี่ย “แต่ทว่าข้าก็ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะว่านั่นเป็นชะตาของนางเอง!”
กล่าวจบนางก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริง
ชูเซี่ยมองตามแผ่นหลังของฉ่ายเวินนิ่งๆ ดวงตาของนางเย็นเฉียบจากนั้นก็ขยับริมฝีปากเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ฉ่ายเวิน ทางที่ดีเจ้าอย่าให้ข้าได้หลักฐานว่าเจ้าเป็นผู้ทำร้ายเฉินอวี่จู๋ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้ายิ้มไม่ออกอีกต่อไป!” นางเองก็เคยได้ยินจูเก๋อหมิงว่าฉ่ายเวินเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษ ยาล้างพิษอาจไม่สามารถแก้พิษทั้งหมดในโลก
หลังจากครบรอบเจ็ดวันที่เฉินอวี่จู๋ตาย ก็มีคนผู้หนึ่งบุกเข้ามาในตำหนักที่ชูเซี่ยอาศัยอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...