ตอนที่ 132 อดทนมานาน
ชูเซี่ยใช้กำปั้นเคาะหัวอันยุ่งเหยิง พยายามทำให้ตนเองสงบลงแล้วเค้นนึกเรื่องในความทรงจำ แต่พอนางยิ่งนึกก็ยิ่งสับสนมาขึ้น
จูฟางหยวนพูดอย่างอ่อนแรง “เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
ชูเซี่ยเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่ให้เขาฟัง แต่พอพูดถึงเรื่องหลังจากที่ตนเองส่งหลี่เฉินเย่นออกไป นางก็พูดได้ไม่ชัดเจนแล้ว
จูฟางหยวนขทวดคิ้วแล้วพูด “คุณเป็นคนที่ประสบพบเจอกับเรื่องความเป็นความตามมาสองสามครั้งแล้ว หากจะว่ากันตามเหตุผลก็ไม่ควรจะมีท่าทีตกใจอะไร แต่จากสภาพของเจ้าแล้ว มันเหมือนกับอาการช็อกหลังจากเจอเรื่องร้ายมาจริง ๆ”
ชูเซี่ยส่ายหน้าอย่างสับสน “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อครู่นี้ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าฮ่องเต้ แต่ตอนนี้พอคิดไปคิดมา หลังจากที่ถูกแทง ฉันอาจจะโต้กลับก็ได้ คุณก็รู้นี่ว่าบางครั้งร่างกายของฉันควบคุมจิตใจไม่ได้จนถึงขั้นบางทีอาจจะทำอะไรลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว ฉันเองก็บอกเล่าให้ชัดเจนไม่ได้และคุมสติไม่ได้ด้วย” นางถามจูฟางหยวน “แล้วคุณล่ะ คุณเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้”
จูฟางหยวนสูดหายใจเข้าลึก ค่อย ๆ ยกมือกดหน้าอกไว้แล้วพูด “วันนั้นเสี่ยวเต๋อจื่อบอกกับผมว่า ฮ่องเต้แสร้งทำเป็นประทานความตายให้แก่คุณ เพื่อหลอกให้หลี่เฉินเย่นกลับเมืองหลวง ผมคิดจะไปแจ้งข่าวให้ทราบ ผลสุดท้ายก็ถูกทหารองครักษ์ล้อมเอาไว้!” เขาสูดหายใจเข้าลึก ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูด “คุณก็รู้เรื่องฝีมือการต่อสู้ของผมดี หลังจากที่ย้อนมาในยุคโบราณก็เพิ่งจะเริ่มเรียนเท่านั้น ท่ามวยแบบฉาบฉวยก็พอมีอยู่ แต่ฝีมือด้านกังฟูกลับไม่เท่าไหร่ ต่อมาเสี่ยวเต๋อจื่อก็ช่วยกู้หน้าให้ ผมก็เลยหนีออกมาได้ แต่ไม่รู้ว่าถูกใครลอบจู่โจมถีบเข้าที่กลางอก หลังจากฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในคุกหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวเต๋อจื่อจะเป็นอย่างไรบ้าง”
ชูเซี่ยอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที “เกรงว่า...” นางไม่ได้พูดต่อ แม้แต่เว่ยกงกงที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานหลายปีเขาก็ยังลงมือได้ลงคอ แล้วเสี่ยวเต๋อจื่อจะยังมีชีวิตอยู่หรือ
จูฟางหยวนเข้าใจความหมายของนาง เขาพูดอย่างเศร้าโศก “หากไม่ใช่เพราะเพื่อให้ผมหนีออกไป เขาก็ไม่ต้องตาย!”
ชูเซี่ยก็เศร้าโศกเช่นกัน เว่ยกงกงที่เป็นคนของพรรคมังกรเหินตายทนโท่อยู่ต่อหน้านาง ทว่านางกลับไร้กำลังที่จะช่วยเหลือ ยังมีเสี่ยวเต๋อจื่อที่จงรักภักดีต่อหลี่เฉินเย่น สุดท้าย แม้แต่ชีวิตก็สูญสิ้น
ในใจของนางเศร้าโศกมาก และเป็นห่วงสถานการณ์ทางหลี่เฉินเย่นมากเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาเคยปรากฏตัวที่ตำหนักฉ่ายเหว่ย ไม่รู้ว่าจะถูกคนกล่าวหาว่าเป็นฆาตรกรปลงพระชนม์ฮ่องเต้หรือไม่ การต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์ที่น่าอเนจอนาถเช่นนี้ บางทีอาจมีความผิดพลาดจนสูญเสียศีรษะได้
นางเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้นมาว่า "ฉันเป็นศัลยแพทย์สมอง สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันก็คือช่วยคนให้พ้นจากความตาย ชีวตคนอยู่ในสายตาของเรา มันยิ่งใหญ่ราวกับท้องฟ้า เราสู้กับเทพเจ้าแห่งความตาย แข่งขันกับเวลาเพื่อให้คนหนึ่งคนได้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่พอมาอยู่ที่นี่ฉันถึงได้พบว่า แท้จริงแล้วชีวิตก็ราคาถูกเช่นนี้เอง คนหนึ่งยังไม่ทันได้ทำอะไรก็สามารถทำให้อีกคนตายได้ จูฟางหยวน การต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์ต้องน่าสังเวชขนาดนี้เลยหรือ ต้องมีคนตายมากขนาดนั้นเลยหรือ เหยียบย่ำบนกองเลือดของผู้คนมากมากขนาดนั้น แม้จะนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างมั่นคง แต่ชีวิตอีกครึ่งที่เหลือจะอยู่ได้อย่างสบายใจหรือ"
จูฟางหยวนหลับตา ถอนหายใจและไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้พูดด้วยเสียงแหบแห้ง "ตอนนี้เรายังเอาตัวไม่รอดเลย จะมีความคิดมากมายไปสงสารคนอื่นเสียที่ไหนกัน ชูเซี่ย ปลงพระชนม์ฮ่องเต้ต้องถูกตัดหัวเชียวนะ"
ชูเซี่ยยิ้มอย่างเศร้า ๆ "ฉันไม่กลัวความตายแม้แต่นิด เดิมทีฉันก็แค่วิญญาณดวงหนึ่ง ตายมาก็หลายครั้งและมีชีวิตอยู่หลายคราเช่นกัน ฉันได้กำไรมาพอแล้ว ชีวิตแบบนี้ก็ทำให้ผิดหวังเหมือนกัน พอมีคนที่รักกันลึกซึ้งก็ไม่อาจเคียงคู่อยู่ด้วยกันได้ อยากมีชีวิตที่สงบสุขก็ไม่อาจสัมผัสมันได้ ชีวิตในแต่ละวันล้วนแต่อยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว ต้องวิตกกังวลว่าจะไม่อาจรักษาหัวของตนกับคนใกล้ชิดไว้ได้ตลอดเวลา หากเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงไม่ตาย แต่ช้าเร็วก็ต้องเสียสติอยู่ดี!"
จูฟางหยวนไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากที่มายุคโบราณชีวิตของเขาก็ค่อนข้างมั่นคงเสมอมา หากไม่ใช่เพราะเข้าวัง ก็คงไม่มีภัยเช่นนี้ แต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่ชูเซี่ยพูด เรื่องที่ชูเซี่ยประสบพบเจอ แม้จะไม่เข้าใจสักเท่าไร แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะพวกเขามาจากยุคที่บ้านเมืองเจริญและสงบสุข เรื่องสู้รบสงครามและต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์พวกนี้พบเจอแค่เพียงในหนังละครเท่านั้น สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ล้วนแต่มีความหวาดผวาน่าตกใจกลัวครอบคลุมไปทั่วอย่างนั้นหรือ
สุดท้ายชูเซี่ยก็ถอนหายใจออกมา "ฉันกลัวว่ามันจะพัวพันกับหลี่เฉินเย่นด้วยนี่สิ!"
สถานการณ์ทางหลี่เฉินเย่นไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดที่ชูเซี่ยคิด ในความเป็นจริงตอนนี้เขายึดครองวังหลวงได้แล้ว
เขาถูกชูเซี่ยส่งตัวออกไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็อยู่นอกวังหลวงแล้ว และเมื่อกองทัพได้รับสัญญาณจากเขาก็มารวมตัวกันอยู่ข้างหน้าโดยมีเฉินหยวนชิ่งเป็นผู้นำทัพ
หลี่เฉินเย่นไม่มีเวลามากพอที่จะคิดว่าชูเซี่ยส่งตัวเขาออกมาได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าในเวลานี้ชูเซี่ยตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก ใจราวกับถูกไปแผดเผา เขาตรวจดูกำลังพลอยู่ชั่วครู่ หมายจะนำกองทัพบุกเข้าวังหลวง ทว่ามีคนยับยั้งเขาไว้ได้ทันเวลา!
เป็นอ๋องเก้า เขาสวมชุดเกราะ ท่ามกลางแสงคบเพลิงก็เห็นได้เพียงท่าทีเคร่งขรึมของเขา เขาขี่ม้ามาตัวคนเดียว และยืนนิ่งเงียบต่อหน้ากองทัพหลี่เฉินเย่น
อ๋องเก้าเร่งม้าจนมาอยู่ข้างหลี่เฉินเย่นแล้วกล่าวว่า "หากเจ้าเข้าวังในเวลานี้ก็จะตกอยู่ในสถานะนักโทษปลงพระชนม์พระบิดาปลงพระชนม์ฮ่องเต้"
หลี่เฉินเย่นจ้องอ๋องเก้า เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง "หมายความว่าอย่างไร"
อ๋องเก้านิ่งขรึมสักพัก จากนั้ยก็กล่าวชึ้นมา "เสด็จพ่อของเจ้าสิ้นแล้ว ชูเซี่ยถูกกุมตัวไปและถูกตั้งข้อหาปลงพระชนม์ฮ่องเต้ หากเจ้านำทัพบุกเข้าวังในเวลานี้ ก็จะเป็นขุนนางคิดคดกบฏ เป็นฆาตรกรปลงพระชนมฮ่องเต้ ปลงพระชนม์พระบิดา"
ถึงแม้จะเคยจงเกลียดจงชังบิดาของตนเองมากมาย เคยสาบแช่งจากก้นบึ้งในใจให้เขาไปตาย แต่ในเวลานี้ก็ยังตกใจกับข่าวร้าย หลี่เฉินเย่นยังคงยากที่จะปิดบังสีหน้าตกตะลึงและเสียใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันทำให้เขาผวากลัว อ๋องเก้าบอกว่าชูเซี่ยถูกจับกุมแล้ว อีกทั้งยังเป็นนักโทษปลงพระชนม์ฮ่องเต้ และนั่นหมายถึงโทษอันสูงสุดคือประหารเก้าชั่วโคตร
เขาส่ายหน้าแล้วพูด "ชูเซี่ยไม่มีทางฆ่าเสด็จพ่อ ข้าจะเข้าวัง ข้าอยากจะพบนาง!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...