ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 165

สรุปบท ตอนที่ 165 ตรวจสอบสิว: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอน ตอนที่ 165 ตรวจสอบสิว จาก ชายาเกิดใหม่ของข้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 165 ตรวจสอบสิว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ ชายาเกิดใหม่ของข้า ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 165 ตรวจสอบสิว

เฉินหยวนชิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน่าเห็นอกเห็นใจว่า “หากตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าจางหมิงจูไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ ข้ายอมที่จะไปคุกเข่ากราบไหว้เริ่มจากตงจือเหมินไปยังหน้าจวนซือคง เพื่อขอขมาต่อใต้เท้าซือคง” เมื่อเฉินหยวนชิ่งเอ่ยพูดจบ เสนาบดีหลี่ก็ได้เอ่ยขึ้นมาเพียงว่า “หวังงว่าท่านนายพลคงจะไม่กลืนน้ำลายตนเอง”

เฉินหยวนชิ่งที่คุกเข่าอยู่พลันสีหน้าก็เคร่งขรึมดูน่าเกรงขามขึ้น แล้วประสานมือยกขึ้นกราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท ขอให้มีคำสั่งส่งหมอหลวงออกจากวังเพื่อไปตรวจรักษาจางหมิงจูทันทีด้วยพะย่ะคะ หากสุดท้ายแล้วเมื่อพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจางหมิงจูไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษจริง หลังจากนั้นกระหม่อมยินยอมที่จะคุกเข่าขอขมาที่จวนซือคง

ทั่วท้องพระโรงก็ตกอยู่ในภาวะเงียบงัน ฮ่องเต้ใช้สายตาที่ดูเหมือนไฟกำลังลุกโชนแผดเผาไปยังเฉินหยวนชิ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะขยับแม้เพียงครึ่งก้าว

ราชครูเฉินไท่ฟูก้าวออกมา คุกเข่าแล้วประสานมือยกขึ้นเอ่ยขอร้องว่า “ทูลฝ่าบาท หากคำพูดทั้งหมดของนายพลเฉินเป็นความจริง ขอให้ฝ่าบาททรงทำตามกฏหมายของราชสำนักด้วยพะย่ะคะ ขอทรงส่งผู้ตรวจการและหมอหลวง พร้อมด้วยท่านหมอหลายคนที่มีชื่อเสียงร่วมกันตรวจหาโรค หากไม่ได้ป่วยจริง กก็เป็นการดีที่จะทำให้บุตรีของท่านซือคงนั้นพ้นข้อกล่าวหา”

เมื่อเหล่าขุนนางบางส่วนเห็นไท่ฟูพูดออกมาเช่นนี้ ก็ล้วนต่างพากันออกมาขอร้องว่า “ขอให้ฝ่าบาทส่งตัวหมอหลวงออกไปยังจวนซือคงเพื่อตรวจสอบด้วยพะย่ะค่ะ”

เกินกว่าครึ่งหนึ่งของในราชสำนักถึงโน้มเอียงไปทางเฉินหยวนชิ่งทันที เฉินหยวนชิงจึงมองไปยังฮ่องเต้แล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้ทั่วราชสำนักล้วนพากัยเอ่ยขึ้นเช่นนี้แล้ว หากพระองค์ยังคงยืนยันเช่นเดิมอีก อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่พยายามปกปิดความผิดนะพะย่ะคะ”

จงเจิ้งที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “ใต้เท้าเฉิน โปรดระมัดระวังคำพูดของท่านด้วย ความตั้งใจของฝ่าบาท สามารถให้ท่านคาดคะเนตามอำเภอใจที่ไหนกันหรือ”

เฉินหยวนชิ่งเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “นั่นก็ขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยพะย่ะคะ”

หลี่เฉินหยวนจึงยกมุมปากยิ้มออกมาอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า “ดี ในเมื่อใต้เท้าเฉินยืนกรานเช่นนี้ นั่นข้าก็ทำตามที่เจ้าต้องการก็แล้วกัน”

เฉินหยวนชิ่งจึงคุกเข่าลงแสดงถึงความนอบน้อมแล้วเอ่ยว่า “เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พะย่ะคะฝ่าบาทที่พระองค?ทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้”

ฮ่องเต้ลุกขึ้น แล้วก็เดินออกไปทันที

ด้านนอกของห้องทรงพระอักษร กรมการแพทย์พร้อด้วยหมอหลวงทุกคนเตรียมรับคำสั่ง ในห้องทรงพระอักษรเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดรอกออกมา หลวี่หนิงและหลี่ซี่ล้วนอยู่ภายในห้องทรงพระอักษร ไม่นานก็มีคนสองคนพร้อมกับเฉินหยวนชิ่งและหมอหลวงออกจากวังไปพร้อมกัน เพื่อไปตรวจรักษาเชียนซานที่จวนซือคง

ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนเก้าอี้มังกร สายตาดุดันจนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ วันนี้เฉินหยวนชิ่งท้าทายอำนาจของเขาอย่างโจ่งแจ้ง เห็นได้ชัดว่าในสายตาไม่คิดว่าเขาคือฮ่องเต้แม้แต่นิดเดียว แต่ก่อนเพราะมีเฉินอวี่จู๋ อย่างน้อยยังเคารพเขาอยู่สามส่วน วันนี้เขายิ่งดีใจจนลืมตัวยิ่งขึ้น เรื่องการป่วยของเชียนซานนี้ บางทีเขาก็ยากที่จะพ้นคำครหา

“ฝ่าบาทพะย่ะคะ พระองค์ทรงต้องการส่งคนออกไปตรวจสอบจริงๆหรือพะย่ะคะ” หลวี่หนิงร้อนใจจนอยู่ไม่ติดกับที่ สองมือกวัดแกว่งถลึงขึงตาอากัปกิริยานั้นช่างดูเสียมารยาท

หลี่ซี่ไม่ได้รู้ความจริงของเรื่องนี้ แต่ตอนนี้แม้จะเพิ่งเข้าใจในภายหลังว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็รีบร้อนเอ่ยถามว่า “เป็นเรื่องจริงหรือพะย่ะคะ นั่นจะทำเยี่ยงไรพะย่ะคะ ผู้คนในตำหนักฉ่ายเหว่ยและจวนซือคงนี้ต้องส่งออกไปยัง เกาะร้างหรือพะย่ะคะ”

หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยใบหน้าที่ขุ่นมัวว่า “ดีซะอีก ที่ทำให้ข้ารู้ว่าในใจของเขาคิดเช่นไร อยู่ต่อหน้าข้าแสร้งทำเป็นนอบน้อมเคารพเชื่อฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้”

หลี่ซี่ก็เอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “ดูเหมือนว่าพักนี้เขากับฉ่ายเวินไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นพะย่ะคะ ฉ่ายเวินคงไม่เชื่อคนที่น่ากลัวและชอบประจบประแจงเช่นนี้หรอกนะพะย่ะคะ”

หลวี่หนิงมองหลี่ซี่อย่างตกใจ ขึ้นขึ้นมาได้ทันทีว่าเขานั้นมีความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อฉ่ายเวิน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ความจริงหลี่ซี่อยู่ข้างกายของฉ่ายเวินมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าฉ่ายเวินเป็นคนเช่นไร แต่เขาอาจจะไม่ยอมรับความจริงก็เป็นได้

หลี่เฉินเย่นมองหลี่ซี่ ด้วยสายตาที่ดูซับซ้อน หลวี่หนิงเข้าใจดีว่าในใจของหลี่เฉินเย่นนั้นข่มขื่นเพียงใด นั่นเป็นเพราะว่าหากเขามองว่านางคือน้องสาวของตน ก็ล้วนคิดอยู่ตลอดว่าจะต้องหาที่พึ่งพิงที่ดีเพื่อนาง แต่ศิษย์น้องผู้นี้กลับเพราะรักในตัวเขาจึงทำเรื่องที่เลวร้ายอย่างขาดสติมากมายขึ้น แม้เขาจะเกลียดชังฉ่ายเวินมากเพียงใด แต่กลับรู้สึกเกลียดชังตนเองมากกว่าเช่นกัน

แม้จะมีหลักฐานมายืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายนี้ล้วนเกิดจากฝีมือของฉ่ายเวิน แต่เขาก็ยังใจไม่แข็งพอที่จัดการกับนางได้ลง ตลลอดมาล้วนเป็นเพราะคำนึงถึงสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ดีนั้น ยังมีคำฝากฝังก่อนตายของอาจารย์ของเขาอีก หลวี่หนิงและหลี่เฉินเย่นคบหากันมานานหลายปีแล้ว เรียกว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันเลยก็ว่าได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าอาจารย์ของเขานั้นมีอิทธิพลต่อใจของเขา หากไม่ใช่ช่วงความเป็นความตาย เชื่อว่าหลี่เฉินเย่นคงไม่จัดการฉ่ายเวินเป็นแน่

ในใจของหลวี่หนิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแทนหลี่เฉินเย่นอีกครั้ง ผู้ใดเอ่ยว่าชีวิตของมนุษย์นั่นมีเพียงความรักที่ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกันละ ความสัมพันธ์ที่มีทั้งหมด เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกในช่วงระหว่างความเป็นความตาย ก็ล้วนทุกข์ทรมาณเช่นกัน

ตอนนี้หลี่เฉินเย่นต้องฝากความหวังที่มีทั้งหมดไว้ที่ซูเซี่ยเพียงผู้เดียว เขาเอ่ยถามหลวี่หนิงว่า “เจ้าทราบถึงสถานการณ์ของเชียนซานหรือไม่”

ทั่วใบหน้าของหลวี่หนิงแลดูเศร้าหมอง เขาเอ่ยว่า “จะทรายได้อย่างไรพะย่ะคะ ทุกครั้งที่กระหม่อมไปล้วนไม่เคยได้พบเจอกับนางเลย แถมท่านหมอเวินยังไม่ให้ผู้ใดเข้าไป แม้แต่สำรับก็ล้วนให้นำไปวางไว้ที่หน้าประตูพะย่ะคะ”

หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ฝีมือการรักษาของซูเซี่ยนั้นยอดเยี่ยม อย่างน้อยถึงตอนนี้ก็คงยังไม่ได้มีข่าวร้ายออกมา เชื่อว่าอาการทั้งหมดน่าจะดีขึ้นแล้ว แต่โรคทรพิษนี้ คิดไปแล้วหมอหลวงที่เคยมีประสบการณ์ก็คงทราบเป็นแน่ แม้หมอหลวงไม่เอ่ยออกมา แต่เหล่าใต้เท้าหลายคนในท้องที่คงเอ่ยพูดกันเป็นแน่ นี่เป็นกฎระเบียบที่บรรพชนกำหนดขึ้นมา ข้าก็ไม่มีอำนาจที่จะทัดทานได้ ทำได้เพียงคอยมองอย่างค่อยเป็นค่อยไปแล้ว หากเรื่องร้ายแรงขึ้นในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ พวกเราต้องทุ่มสุดตัวกันแล้วละ”

หลวี่หนิงและเสนาบดีหลี่ล้วนรู้ดีว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ก็คือตอนที่ถูกส่งออกไปยังเกาะร้างออกไป การทุ่มสุดตัวมีเพียงทางเดียวนั่นคือหลบหนีไปกับพวกเขา

นี่อาจจะเรียกได้ว่าไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงจากหลังเสือได้ยาก แต่ก็ไม่มีวธีการอื่นที่สามารถคิดออกมาได้แล้วจริงๆ

หลี่เฉินเย่นลุกยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้าจะไปพร้อมกับพวกเจ้า มีเรื่องใดเกิดขึ้น พวกเจ้าก็ดูท่าทีและสัญญานจากข้าก็แล้วกัน”

หลวี่หนิงและเสนาบดีหลี่มีสีหน้าที่ดีขึ้น เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “รับด้วยเกล้าพะย่ะคะ”

ขณะนี้เฉินหยวนชิ่งได้อยู่ที่ตำหนักหยงหมิงแล้ว เพียงรอให้ขบวนใหญ่มาถึงก็จะออกเดินทางทันที วันนี้เขาสามารถลงมือโดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว เรื่องนี้เขาแล้วควบคุมไว้หมดแล้ว

แต่เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาจึงยังต้องถามฉ่ายเวินอีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่านางได้รับเชื้อโรคทรพิษ”

ฉ่ายเวินยืนอยู่ในสายลม ชายเสื้อปลิวไสว ใบหน้าที่งดงามดูมีความสุขสนุกสนานอย่างมาก นางเอ่ยว่า “มั่นใจ คนสนิทของข้านำป้ายเชื่อของไข้ทรพิษลงไปบนที่แขนของนาง การแพร่กระจายของไข้ทรพิษนั้นร้ายกาจยิ่งนัก นางย่อมได้รับเชื้ออย่างแน่นอน”

เฉินหยวนชิ่งเอ่ยถามขึ้นว่า “แต่ซูเซี่ยออกจากวังหลวงไปเพื่อรักษาอาการของนางมาหลายวันแล้ว บางทีอาจจะรักษาให้หายดีแล้วก็เป็นได้ ”

จวนซือคงกลับไม่ได้โกลาหล ที่เป็นนี้ต้องยกความดีให้กับใต้เท้าซือคงที่ได้อบรมสั่งสอนคุณชายทั้งสามคนไว้ก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นการเผชิญหน้าที่ยากรับมือ แต่คุณชายทั้งสามคนมีสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้าน รีบก้าวเดินออกมาจากประตูใหย๋ของจวนเพื่อรับเสด็จ

“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปีพะย่ะค่ะ ” ทั้งสามคนคุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วแสดงความเคารพต่อหลี่เฉินเย่น

หลี่เฉินเย่นเลิกม่านขึ้น แล้วมองยังทั้งสามคน จวนซือคงมีบุตรชายถึงสามคน ไม่มีผู้ใดเข้ารับราชการเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่สนใจในลาภยศสรรเสริญเป็นอุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด ทำให้ผู้คนนับถืออย่างมาก ดังนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยของหลี่เฉินเย่นจึงมีความเลื่อมใสอยู่มาก “คุณชายทั้งสามลุกขิ้นเถิด”

คุณชายใหญ่กล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาถึงที่จวน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือพะย่ะคะ”

จงเจิ้งประคองคุณชายใหญ่ขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมาที่นี่ครั้งนี้ เป็นเพราะมีคนส่งหนังสือขึ้นกราบทูลว่าจางหมิงจูบุตรีของจวนซือคงได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ จึงมีคำสั่งเฉพาะให้หมอหลวงและท่านหมอทั้งหลายมาที่นี่เพื่อทำการตรวจสอบและรักษา คุณชายทุกท่านได้โปรดนำทางเถิด”

คุณชายใหญ่เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ไข้ทรพิษเช่นนั้นหรือ เอาจากที่ใดมาพูดกันเช่นนั้นหรือ น้องสาวของข้าเพียงออกหัด เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านไม่กี่วัน ใยจึงกลายเป็นไข้ทรพิษไปได้”

เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินคำพูดนี้ ในใจก็ยิ่งตกลงไป คิดว่าคำพูดนี้คงเป็นซูเซี่ยที่บอกให้เขาพูดเช่นนี้ ประเดี๋ยวเดียวเขาก็รู้สึดปลอดโปร่งขึ้น แล้วจึงเอ่ยว่า “จริงหรือไม่จริง เมื่อตรวจสอบแล้วเสร็จก็จะรู้เอง”

คุณชายใหญ่จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเชิญทางนี้พะย่ะคะ” พูดแล้วก็เดินนำหน้าเพื่อเปิดทางให้กับฮ่องเต้

ประตูใหญ่ทุกบานกูกเปิดออก ต้อนรับรถม้าของฮ่องเต้เข้าไปด้านใน

กลุ่มหมอหลวงและท่านหมอที่แบ่งออกเป็นสองแถว ก็ยืนรอคำสั่งจากฮ่องเต้อย่างเงียบสงบ

ประตูใหญ่ของเรือนพักอาศัยของเชียนซานนั้นปิดสนิท ด้านหน้ามีเพียงสาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เมื่อเห็นขบวนใหญ่ใกล้มาถึง เห็นได้ชัดว่านางตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ประจวบกับที่คนยกเกี้ยวของหลี่เฉินเย่นลงมาพอดี

ทั่วร่างกายของหลี่เฉินเย่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ชิงเอ๋อหรือ”

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าชิงเอ๋อผู้นั้น ก็คือขู่เอ่อร์หญิงสาวที่ซูเซี่ยพากลับมาจากที่ถนนใหญ่ในวันนั้น นางไม่เคยพบเห็นสภาพอะไรเช่นนี้มากก่อน ขบวนใหญ่หนึ่งขบวนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้มีอำนานจและสูงศักดิ์พากันเข้ามา จึงทำให้นางตกใจเสียจนสีหน้าซีดขาว ตอนนี้ได้ยินบุรุษที่งามพริ้งพรายผู้นั้นเอ่ยปากเรียกนาง แต่กลับเรียกหาชื่อที่มิใช่ชื่อของนาง จึงอดที่จะงงงันเล็กน้อยไม่ได้ และยังไม่แสดงท่าทีที่เคารพ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดแจ๋วว่า “ข้าไม่ใช่ชิงเอ๋อ ข้าชื่อว่าขู่เอ่อร์”

หลี่เฉินเย่นมองนางอย่างมีความขัดข้องใจ จึงลองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามีชื่อว่าขู่เอ่อร์หรือ เจ้าเป็นคนที่ใดหรือ เจ้าไม่รู้จักข้าเช่นนั้นหรือ”

ขู่เอ่อร์ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จักท่าน ข้ามีชื่อว่าขู่เค่อร์ เป็นคนฮุ่ยโจว ข้ามิใช่ชิงเอ๋อและก็ไม่รู้จักนางอีกด้วย”

ซูเซี่ยที่อยู่ด้านในได้ยินการสนทนาทางด้านนอก ในใจก็เกิดข้อสงสัยมากมายขึ้นทันที หลี่เฉินเย่นพูดว่าชิงเอ๋อ หรือว่าจะเป็นชิงเอ๋อคนที่หนีตามอานุ่ยเกอไปผู้นั้น หรือว่าชิงเอ๋อและขู่เอ่อร์จะคล้ายกันอย่างมากเช่นนั้นหรือ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า