ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 167

ตอนที่ 167 ให้อภัย

ระยะระหว่างตำแหน่งของเขาและซูเซี่ยนั้นใกล้กันมาก แต่หลี่เฉินเย่น จงเจิ้ง หลวี่หนิง หลี่ซี่และผู้อื่นอยู่ค่อนข้างไกล ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะลงมืออย่างรวดเร็ว มือของเขากุมที่คอของซูเซี่ย ดวงตาทั้งคู่เพราะเคียดแค้นจึงแดงก่ำ เขาลงนำหนักบนมืออย่างมาก ตอนนี้คิดอยากที่จะหักคอซูเซี่ย แต่ความปรารถนาของเขากลับล้มเหลว เพราะในตอนที่เขาจะลงมือกับซูเซี่ย หลี่เฉินเย่นก็อุทานและลุกกายขึ้น พุ่งทะยานกายตรงมาที่เขาเหมือนพญาเหยี่ยว

ในใจของเขา แม้จะเกลียดชังหลี่เฉินเย่น แต่ยังไงเขาก็เป็นถึงพระมหากษัตริย์ ส่วนตนก็เป็นขุนนาง เขาสามารถไม่ให้เกียรติตนได้ กลับไม่ลงมือกับเขา ดังนั้นตอนที่หลี่เฉินเย่นเข้าประชิดตัวเขา เขาจึงยกตัวพาซูเซี่ยทะยานขึ้นทันที กระโดดเบาๆ ก็โดดขึ้นไปบนสันของกำแพง และก็พุ่งทะยานออกไป

เหล่าทหารอารักขาเห็นหลี่เฉินเย่นลงมือ ล้วนพากันลงมือไล่ตามทันที แต่กำลังภายในของเฉินหยวนชิ่งนั้นแข็งแกร่ง การแย่งชิงในช่วงเวลาที่สำคัญนี้โดยใช้วิชาตัวเบาหลบหนีไป ทหารอารักขาอย่างพวกเขาจะไล่ตามทันได้อย่างไรกัน

อีกทั้งหลี่เฉินเย่นในตอนที่เฉินหยวนชิ่งกระโดดขึ้นไปนั้นเขาก็คิดอยากที่ไล่ติดตามไปทันที แต่เชียนซานทะยานออกมาขวางหน้าของหลี่เฉินเย่น แล้วเอ่ยว่า “นายท่านสั่งไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องตามไปเพคะ”

เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินเย่นทีท่าทีที่ไม่เชื่อ เชียนซานจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ทั้งหมดนี้อยู่ในการควบคุมของนายท่าน ฝ่าบาททรงวางใจเถิดเพคะเฉินหยวนชิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่าน”

หลี่เฉินเย่นทั้งทั้งเชื่อและมีข้อสงสัยมองยังเชียนซาน ในหัวคิดถึงทักษะของซูเซี่ย นางดูเหมือนอ่อนแอ แต่ในช่วงวิกฤติที่เป็นช่วงแห่งความเป็นความตาย ล้วนสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้ นางไม่ให้ผู้คนตามไล่ตามไป คิดว่าคงมีใจคิดจะทำอะไรบางอย่างเป็นแน่ จึงครุ่นคิดเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยคำสั่งออกมาว่า “ไม่ต้องตามแล้ว”

หลวี่หนิงมองเชียนซาน แล้วเอ่ยด้วนน้ำเสียงที่แฝงด้วยทั้งความเสียใจและดีใจว่า “เจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่”

เชียนซาน ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว แล้วก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว”

หลวี่หนิงเห็นระหว่างหน้าผากของนางมีบางอย่างที่ดูหดหู่ จึงรู้ว่านางเป็นห่วงโฉมหน้าของตน จึงเอ่ยปลอบโยนขึ้นว่า “เจ้ายังสวยงดงามดังเช่นเมื่อก่อน”

เชียนซานมองเขาตาขวางแวบหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เดินเข้าไปในห้องอย่างหดหู่ใจ

ฮูหยินซือคงจึงเข้ามาเอ่ยถามหลี่เฉินเย่นว่า “ฝ่าบาทเพคะ เช่นนั้นยังต้องให้หมอหลวงว่าตรวจรักษาบุตรสาวของหม่อมฉันอีกหรือไม่เพคะ”

หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยถามกับหมอหลวงชางกวนว่า “ท่านหมอชางกวนคิดเห็นว่าอย่างไรหรือ”

หมอหลวงชางกวนจึงเข้ามาเอ่ยกราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าแม้ว่าบนใบหน้าของเฉียนชนากูเหนียงจะมีรอยอยู่บางส่วน แต่สีกลับซีดจาง ซ้ำยังเชื่อได้ว่าอีกไม่นาน รอยแดงทั้งหมดพวกนี้ก็จะสามารถจางหายไป อีกทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคทรพิษ ก็ไม่อาจจะไม่ได้มีจิตใจดังเช่นเชียนซานกูเหนียงในตอนนี้ ตามการคาดเอาอาการป่วยตอนนี้ผู้ป่วยควรที่จะป่วยหนักจนเข้าใกล้ความตายไปจริงๆ แล้ว ดังนั้นหม่อมฉันกล้าคาดคะเนเลยว่าเชียนซานกูเหนียงไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ น่าจะเหมือนคำพูดของใต้เท้าซือคงที่เอ่ยว่าเพียงออกหัดเท่านั้นพะย่ะคะ ”

หมอหลวงมากมายและเหล่าใต้เท้าก็ต่างพากันคล้อยตาม แต่หมอหลวงที่ทำการตรวจรักษาเชียนซานก่อนหน้านี้ มีบางส่วนที่ตกตะลึงอย่างขาดสติ เขาเห็นฮ่องเต้มองมาที่ตนเอง สองขาก็พลันอ่อนแรงลง จึงคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “ขอฝ่าบาททรงใจเย็นพะย่ะคะ กระหม่อมความรู้อ่อนด้อย ฝีมือก็อ่อนหัดยิ่งนัก จึงทำให้วินิจฉัยโรคไม่ถูกต้อง เกือบก่อให้เกิดความผิดที่ใหญ่หลวง ขอฝ่าบาททรงละเว้นโทษด้วยพะย่ะคะ ”

ในใจของหลี่เฉินเย่นรู้ดีว่าหมอหลวงผู้นี้ก็เป็นคนที่มีทักษะความสามารถผู้หนึ่ง เขาจึงไม่อาจทำลายอนาคตเขาได้ตามอำเภอใจ จึงเอ่ยอย่างพอใจว่า “การเรียนรู้นั้นไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะอยู่ในวิชาความรู้หรือในฝีมือการรักษาโรค ล้วนไม่ควรถือดีเกินไป วินิจฉัยโรคก็ดี รักษาคนก็ดี จำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ผู้ที่เป็นหมอมีความรับผิดที่ชอบวางอยู่บ่าที่สำคัญอย่างมาก เกิดคว่มผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ครั้งนี้ข้าจึงลงโทษหักเงินเดือนของเจ้าเป็นเวลาสามเดือน หวังอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้เจ้าจดจำบทเรียนในครั้งนี้เอาไว้ อย่าได้ลงมือทำเช่นนี้อีก และยังต้องอย่าทำให้ข้าผิดหวังในการในตัวเจ้าอีก ”

เดิมทีหมอหลวงผู้นั้นนเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วจับขังคุก การกระทำในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูง และการระทำบนรถม้าของฮ่องเต้ก็ทำให้ผู้คนพากันตกอกตกใจ อีกทั้งยังเหนื่อยกับการที่ท่านหมอเวินถูกจับตัวไป ตนเองจึงคิดว่าฮ่องเต้อาจพาลรู้สึกไม่ดีกับตนเข้า แต่ผลลัพธ์กับเป็นว่าเพียงหักเงินเดือนเขาแค่สามเดือน กระทั้งไม่มีแม้สีหน้าที่เคร่งขรึมตำหนิติเตียน ทำให้เขาซางซึ้งจนน้ำตาไหลออกมาพร้อมโขกศีรษะแสดงความขอบคุณไม่หยุด

ใต้เท้าท้องที่ที่อยู่ในลานได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ ก็ล้วนพากันพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกันว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ช่างมีเมตตากรุณา ช่างเป็นความโชคดีของราษฎรเสียจริง

ว่าแต่เฉินหยวนชิ่งจับตัวซูเซี่ยไป ตลอดทางห้อตะบึงออกไป ฉวยข้ามหลังคาเรือนของประชาชนในเมืองหลวงนับครั้งไม่ถ้วน ตรงออกไปยังทางชานเมือง

เมื่อมุ่งไปจนถึงริมแม่น้ำที่ชานเมือง แล้วมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดไล่ตามมา เขาจึงผ่อนฝีเท้าแล้วหยุดลง แล้วผลักซูเซี่ยออกไป มีกลิ่นอายที่ดูสับสน ลมหายใจติดขัด สีหน้าแดงก่ำ

เขามองซูเซี่ยอย่างไม่กัดไม่ปล่อย กระหอบเอ่ยว่า “คราวนี้ข้าจะรอดูว่าจะมีผู้ใดมาช่วยเจ้า” แต่มองเห็นซูเซี่ยมีกลิ่นอายที่ดูสงบนิ่ง บนใบหน้าก็ไม่แสดงความหวดกลัวออกมาให้เห็น ตรงกันข้ามกลับยังคงนิ่งสงบอย่างยิ่งมองมาที่เขาอย่างไม่แยแส ในใจจึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เมื่อครู่ตลอดทางเขาใช้กำลังภายในอย่างหนัก แม้นางไม่ได้ออกแรงกายแม้สักนิดเดียว แต่ถูกเข้าหิ้วตัวอยู่เป็นเวลานาน กลับไม่มี วิงเวียนอ่อนเพลียสักนิดเลย ล้วนไม่มีอาการลลนลานหรืออาเจียนออกมา จึงทำให้ใจของเขาตกตะลึงอย่างมาก

ซูเซี่ยเยคล้ายหัวเราะออกมาว่า “ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดที่จะมาช่วยเหลือข้าหรอก แต่ก็ไม่แน่ว่าท่านจะสามารถฆ่าข้าได้”

เฉินหยวนชิ่งหัวเราะอย่างจองหองออกมา “ฮาฮา ช่างน่าขันเสียจริง ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ เจ้าไม่ประเมินตนเองสูงเกินไปหน่อยหรือ”

ซูเซี่ยจึงเอ่ยว่า “งั้นสามารถทดสอบได้เลย”

เฉินหยวนชิ่งโมโหอย่างรุนแรงขึ้น พลิกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น เร่งรวบกำลังภายใน ทะยานขึ้นเข้าจู่โจมซูเซี่ยไปมา แต่ทว่าฝ่ามือของเขากลับไม่สามารถแตะต้องถึงเสื้อผ้าของซูเซี่ยด้วยซ้ำ เพียงเห็นฝ่ามือที่โจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็วของเขา ซูเซี่ยเยื้องกรายออกไป ตั้งหลักอยู่บนอากาศ โดยที่ไม่เคลื่อนไหวสักนิดเดียว

เขาตกตะลึง บนโลกนี้มีกำลังที่สูงส่งขนาดนี้หรือ แต่นางรู้วิทยายุทธ์เช่นนั้นหรือ

เขาพยายามอย่างสุดกำลังส่งฝ่ามือออกไปจนนับไม่ถ้วน ชั่วขณะเห็นเพียงลมปราณบนมือที่ผลักออกไปนั้นรุนแรงอย่างมาก ใบไม่ปลิวไสวอย่างบ้าคลั่ง ผิวน้ำสั่นสะเทือนสร้างความตกใจให้กับเหล่านกนางนวล หลังจากนั้นทั้งหมดก็เสียชีวิตอยู่ริมแม่น้ำ ช่างอานาถใจยิ่งนัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า