ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 170

ตอนที่ 170 ประสบความพินาศด้วยกัน

ฉ่ายเวินนั่งอยู่บนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่จากไปของหลี่เฉินเย่น ท้ายที่สุดการอำพรางและยืนกรานทั้งหมดในเวลานั้นล้วนพังทลายลง

เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง อย่างเงยหน้าขึ้นทันที คิดว่าเป็นหลี่เฉินเย่นไปแล้วย้อนกลับมา

แต่สิ่งที่ปรากฎขึ้นในสายตากลับเป็นขู่เอ่อร์

ขู่เอ่อร์จึงยืนอยู่ด้านข้างของนาง ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากในอก ส่งให้กับนางแล้วเอ่ยเบาๆว่า “ฉ่ายเวินนายหญิง ท่านทำไมร้องไห้เช่นนี้เจ้าคะ”

ฉ่ายเวินเช็ดน้ำตาให้แห้งอยากเงียบๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ ใครอนุญาตให้เข้ามาในนี้หรือ”

ขู่เอ่อร์ยิ้มออกมาอย่างไม่สนใจ ลากม้านั่งออกมาแล้วนั่งลงใกล้กับนาง “ข้าพูดกับฝ่าบาทว่า หลังจากนี้ข้าจะอยู่ปรนนิบัติที่ตำหนักหย่งหมิง ฝ่าบาททรงเห็นชอบแล้ว”

ฉ่ายเวินโมโหขึ้นทันที ยืนขึ้นแล้วเพ่งมองนาง “เขาเห็นชอบแล้วข้ายังไม่ได้ตกลงกับเจ้า เจ้าออกไปให้พ้นหน้าข้า ออกไป” พูดจบก็ยื่นมือดึงตัวขู่เอ่อร์ ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักขู่เอ่อร์ลงไปบนพื้น

ขู่เอ่อร์ค่อยค่อยลุกขึ้นอย่างช้าๆ เปลี่ยนจากเมื่อครู่ที่มีหน้าตาที่ดูยังย่อท้อเป็นเมินเฉยอย่างมาก นางยื่นมือรวบเส้นผม แล้วเอ่ยขึ้นช้าช้าว่า “หลายปีที่ไม่เจอกัน เจ้ายังคงวางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนเมื่อก่อนเช่นเดิมเลยนะ”

ฉ่ายเวินเงยยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว สายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ การหายใจของนางคล้ายกับถูกช่วงเวลานั้นหยุดเอาไว้ สีหน้าซีดขาวลง นางส่ายหน้า เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าพูดอะไรว่าอะไรหรือ”

ขู่เอ่อร์ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน “เจ้ากลัวหรือ เจ้าวางยาพิษข้า ตอนที่ผลักข้าลงหน้าผาเจ้าล้วนไม่กลัวสัดนิด แล้วทำไมตอนนี้กลับกลัวขึ้นมาละ”

สีหน้าของฉ่ายเวินซีดขาวราวไร้เลือดขึ้นทันที ดางตาเบิกกว้าง จ้องมองขู่เอ่อร์อย่างตาไม่กระพริบ นางเดินถอยหลังไปแล้วชนเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าของโต๊ะแป้ง เก้าอี้จึงล้มกระแทกลงบนพื้นเกิดเป็นเสียงดังขึ้น

นางเหมือนถูกเสียงดังนี้ทำให้ตกอกตกใจ สะดุ้งไปทั่วร่างกาย ชี้ไปที่ขู่เอ่อร์แล้วเอ่ยว่า “ไม่ เจ้าไม่นาง เจ้าไม่ใช่นาง นางหนีตามคนรักไปแล้ว นางกับอานุ่ยเกอหนีตามกันไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาได้อีก”

ขู่เอ่อร์ยิ้มอย่างเย็นชา “ใช่หรือ ข้าหนีตามชายคนรักหรือว่าตายไปแล้วกันแน่ ในใจของเจ้ารู้ดี หลายปีมานี้ เจ้าโกหกตัวเองมาโดยตลอด เจ้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับเรื่องจริงที่ว่าเจ้าลงมือสังหารข้ากับข้าหนิว ดังนั้น เจ้าจึงบอกกับตัวเองและล้วนบอกกับทุกคนว่าพวกเราหนีตามกันไป แต่ศิษย์น้อง เจ้าสามารถโดกหกคนรอบข้างได้ และก็สามารถโกหกตนเองได้ แต่เจ้าสามารถโกหกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของตนได้เช่นนั้นหรือ”

ประโยคนี้ของศิษย์พี่ ทำให้สิ่งที่ฉ่ายเวินซ่อนไว้ในใจทั้งหมดพังทลายลง นางยกมือปิดหู แล้วกรีดร้องขึ้นว่า “ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง เจ้าไม่ใช่นาง นางหนีตามชายคนรักไปแล้ว นางเคยพูดกับข้า นางมีความสุขมาก นางไม่กลับมาแล้ว นางพูดจะมอบศิษย์พี่ให่กับข้า เจ้าไสหัวไป เจ้าไสหัวไปจากข้าซะ” พูดจบก็เหมือนกับคนเสียสติพุ่งเข้าใส่ขู่เอ่อร์แล้วผลักนางลงอย่างโหดร้าย

ขู่เอ่อร์ยืนขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแหนมว่า “ก็ได้ เจ้าโกหกตนเองโกหกผู้อื่นต่อไปเถิด ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็จะต้องปรากฏออกมา ” พูดจบก็สะบัดชายอาวรณ์แล้วจากไป

ฉ่ายเวินนั่งอยู่บนพื้น ปิดหูเอาไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นดูเหม่อลอยได้แต่ส่ายหน้าไปมา บ่นพึมพำอยู่ในลำคอแล้วเอ่ยว่า “ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง นางหนีตามชายคนรักไปแล้ว เจ้าไม่ใช่นาง...”

เมื่อขู่เอ่อร์ออกมาจากตำหนักหย่งหมิง ก็เห็นหลี่เฉินเย่นยังอยู่ที่ด้านนอกของตำหนัก จึงเข้าไปเอ่ยคารวะว่า “ฝ่าบาทเพคะ บ่าวได้พูดตามท่ท่านสั่งให้พูดไปแล้วเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ข้าได้ยินหมดแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมองขู่เอ่อร์ แล้วเอ่ยขึ้นช้าช้าว่า “แต่ไม่ได้ให้เจ้าพูดเรื่องผลักตกหน้าผา และก็ยังไม่ได้พูกดเรื่องการวางยาพิษ ข้าจำได้ว่าคำพูดที่ว่าเจ้าทำร้ายข้าจนตายตอนนั้นเจ้าทำไมถึงไม่กลัวที่พูดกับเจ้าก่อนหน้านี้ ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนคำโดยพละการหรือ”

ขู่เอ่อร์ตกใจเล็กน้อย สีหน้าบางส่วนดูสับสน แต่ไม่นานนางก็เอ่อยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงประทานอภัยโทษด้วยเพคะ บ่าวเพียงคิดว่าคำพูดทั้งหมดของฝ่าบาทพูดถึงในหุบเขา อีกทั้งพูดว่านางชำนาญการใช้พิษ จึงพูดเช่นนี้ออกไปเพคะ”

หลี่เฉินเย่นมองนาง อยู่นานโดยที่ไม่ละสายตา

ขู่เอ่อร์ถูกเขามองก็ดูผิดปกติไปเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัดใจขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงกำลังโกรธบ่าวใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เฉินเหยีอนส่ายหน้า เอ่ยขึ้นคล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ “ไม่หรอก เจ้าไปเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยพูดกับซูเซี่ยแล้วกัน”

“เพคะ” ขู่เอ่อร์คล้ายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แล้วรีบทำความเคารพหลังจากนั้นก็เดินจากไป

หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามจงเจิ้งที่อยู่ข้างกาย “เจ้าคิดว่าอย่างไร”

จงเจิ้งเอ่ยตามจริงว่า “ฝ่าบาทพะย่พคะ กระหม่อมคิดว่าแม่นางขู่เอ่อร์เหมือนมีเรื่องที่ปกปิดเอาไว้พะย่ะคะ”

หลี่เฉินเย่นถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่า นางก็คือศิษย์น้องของข้า”

จงเจิ้งตกตะลึงเล็กน้อย “นี้ ถ้าหากว่าเป็นนางตริงๆแล้ว ทำไมนางถึงไม่ยอมรับละพะย่ะคะ”

หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างเสียใจแล้วส่ายหน้า ทั้งก้าวเดินทั้งเอ่ยตอบว่า “ศิษย์น้องสองคนของข้า ข้าล้วนไม่เข้าใจพวกนางเช่นกัน”

ขู่เอ่อร์กลับมาถึงยังตำหนักฉ่ายเหว่ย ไม่ได้เอ่ยพูดกับซูเซี่ยถึงเรื่องที่หลี่เฉินเย่นให้นางออกไปทำนั้นคือรื่องใด เพียงหลังจากที่นางกลับมา ก็ดูราวกับเงียบขรึมลงอย่างมาก จึงทำให้ซูเซี่ยกังวลใจเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในวังหลวงใช่หรือไม่”

ขู่เอ่อร์ส่ายหน้า เอ่ยยิ้มอย่างหดหู่ว่า “มคุ้นเคยที่ไหนกันละเจ้าคะ ที่นี่เปรียบกับที่ข้าอยู่ก่อนหน้านี้ ดีกว่ามากมายนักเจ้าคะ”

ซูเซี่ยเอ่ยอย่างเห็นออกเห็นใจนางว่า “ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกแล้ว มองไปยังอนาคตที่สวยงามเถิด”

สายตาของขู่เอ่อร์สุกใสแวววาวมองยังซู่เซี่ยอย่างลังเล

ซูเชี่ยเอ่ยว่า “เจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ไม่อยากที่จะพูดออกมากันทั้งนั้น เจ้ามี ข้าก็มีเช่นกัน ตอนนี้ล้วนดีอย่างมาก ล้วนดีกว่าสิ่งใดแล้ว”

ขู่เอ่อร์ประหลาดใจเล็กน้อย มองนางอย่างไม่เข้าใจ อยู่ในอารมณ์ที่ขบคิดความหมายของนาง

ซูเซี่ยหัวเราะออกมา แล้วตบไหล่ของนางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก็แล้วกัน” พูดจบ ก็หมุนกายเข้าไปแล้ว

ขู่เอ่อร์ยืนอยู่ทางเดินด้านนอกอย่างหดหู่ใจ สีหน้าอยู่เศร้าหมอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า