ตอนที่ 221 ต้นปัญหาที่แท้จริง
ในเช้าวันถัดมาหลี่เฉินเย่นถือโอกาสอ้างว่าต้องการมาเยี่ยมองค์หญิงน้อยจึงให้ลู่หนิงติดตามเขาออกจากวังมาพร้อมกัน
ตอนที่ชายหนุ่มเดินทางออกจากวังก็ล่วงเลยมาเกือบบ่ายแล้วเพราะยังมีหน้าที่และกองฎีกามากมายที่ต้องสะสางให้เสร็จเสียก่อน ชูเซี่ยที่รอคอยการมาของเขาถึงครึ่งชั่วยามด้วยกัน
ทันทีที่นางเห็นว่าชายหนุ่มมาถึงแล้วชูเซี่ยก็รีบก้าวไปข้างหน้าและย่อกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย
ในใจของหลี่เฉินเย่นบังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาและนางเริ่มมีการรักษามารยาทต่อกัน
แต่ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นเพราะความห่างเหินที่นางแสดงออกมาก็เหมือนเป็นการแสดงให้เห็นว่าระหว่างเขาและนางต่างก็ยังไม่ได้ตัดขาดกันอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องมากพิธี!” หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลี่อวิ่นกังมองพวกเขาไปมาสลับกัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆระหว่างพวกเขาทั้งคู่
โชคดีเหลือนเกินที่อันหรันนเดินมาดึงแขนเสื้อของหลี่เฉินเย่นเบาๆก่อนเอ่ยถาม “เสด็จลุง น้องชายกับน้องหญิงของข้าเล่า”
เดิมทีหลี่เฉินเย่นก็อยากพาพวกเขาสองคนออกมานอกวังเช่นกัน แต่ก็เกรงว่าจะเอิกเกริกจนเกินไปจึงพับความคิดนั้นเก็บไว้ก่อน
เมื่อได้ยินอันหรันนถามถึงคู่แฝดก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “น้องชายและน้องหญิงอยู่เป็นเพื่อนเสด็จย่าและท่านย่าของอันหรันนในวัง อันหรันนอยากไปเล่นกับพวกเขาในวังหรือไม่ งั้นตอนที่เสด็จลุงกลับวังอันหรันนก็ไปพร้อมลุงเลยดีหรือไม่”
อันหรันนเอ่ยอย่างดีใจ “ดีขอรับ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อก็บอกว่าจะพาข้าเข้าวังมาหลายครั้งแล้วแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววจะพาข้าไปเลยขอรับ”
“ท่านพ่อของเจ้าช่างเหลวไหลเสียจริง เสด็จลุงจะตำหนิเขาให้!” หลี่เฉินเย่นปั้นหน้าดุก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
อันหรันนแอบปรายตาไปที่หลี่อวิ่นกังเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างหวาดกลัว “หากเสด็จลุงตำหนิท่านพ่อ ท่านพ่อต้องตีก้นของอันหรันนแน่”
หลี่อวิ่นกังชะงักก่อนยิ้มออกมา “เจ้าเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้หัดฟ้องผู้อื่นแล้วหรือ”
หลี่เฉินเย่นก็ยิ้มออกมา “ไม่ต้องกลัว หากว่าท่านพ่อตีก้นเจ้าเสด็จลุงก็จะสั่งโบยเขาให้”
อันหรันนตกใจจนดวงตากลมเบิกว้าง “ถ้าเช่นนั้นก็ช่างมันเถิด ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อของข้าถูกโบยขอรับ”
หลี่เฉินเย่นรู้สึกชื่นชมในตัวหลานชาย “ช่างรู้ความเสียจริง”
ชายหนุ่มหันมามองชูเซี่ยก็พบว่าชูเซี่ยกำลังยิ้มให้แก่ความน่ารักของอันหรันนอยู่ เมื่อหญิงสาวเห็นว่าชายหนุ่มกำลังทอดสายตามองมาที่ตนนางก็มองสบสายตาเขาชั่วครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี
ไม่ว่าสายตาของเขาจะอ่อนโยนเพียงใด แต่สายตาอ่อนโยนนี้ไม่ได้มีให้แก่นางเสียหน่อย เขามีไว้ให้เพียงอันหรันนและคู่แฝดต่างหากเล่า
เป็นนางที่ผิดต่อเขา นางทำให้เขาและลูกๆต้องพลัดพรากจากกันนานถึงสี่ปี
เมื่อพูดคุยกันตามประสาครอบครัวเสร็จพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องจริงจังในที่สุด
หลี่อวิ่นกังเชิญพวกเขาเข้ามานั่งด้านในก่อนจะปิดประตูและให้ลู่หนิงคอยเฝ้าอยู่ข้างประตูเพื่อดูแลความปลอดภัยอีกที
ชูเซี่ยเป็นผู้ที่เริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นเป็นคนแรก “ฝ่าบาทเพคะ แท้จริงแล้วไทเฮาไม่ได้ทรงประชวรหรอกเพคะ แต่พระองค์ถูกพิษหนอนชนิดเดียวกันกับที่เฉินอวี่จู๋เคยโดนเพคะ”
หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “เรื่องจริงหรือ”
“เป็นเรื่องจริงเพคะ เป็นพิษชนิดเดียวกับที่ฉ่ายเวินเคยใช้มันกับเฉินอวี่จู๋ไม่ผิดแน่”
หลี่เฉินเย่นก็เคยได้ยินจูเก๋อหมิงพูดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ทว่าตอนนั้นเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวของเฉินอวี่จู๋มากมายถึงเพียงนั้นดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดสนใจเรื่องพิษเท่าที่ควร
“แล้วมีวิธีการรักษาหรือไม่” หลี่เฉินเย่นถามและรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนั้นชูเซี่ยไม่อาจรักษาอาการของเฉินอวี่จู๋ได้ แต่นี่ผ่านมาห้าปีแล้วนางจะมีวิธีรักษาเสด็จแม่หรือไม่นะ
ชูเซี่ยส่ายศีรษะเบาๆก่อนจะเอ่ยอย่างหนักใจ “ว่ากันตามจริงตอนนี้ข้าไม่มีความมั่นใจใดๆเลย แค่หาสาเหตุของโรคก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ข้าก็พอมีวิธีป้องกันได้อยู่บ้างแต่ก็ไม่นับว่าทั้งหมด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...